ตอนที่8.ชีวิตมันต้องก้าวไปข้างหน้า
ดร.อธิปัตย์หัวเราะชอบใจแล้วเดินไปหยิบคีย์การ์ดของที่พักส่งให้เขา “แต่สำหรับผมคุณคือซูปเปอร์ฮีโร่เลยล่ะ”
“คงมีไม่กี่คนหรอกที่คิดแบบดร.” เขาหัวเราะอารมณ์ดีขึ้นแล้วรับคีย์การ์ดมาใส่ในกระเป๋าเสื้อ
อร.อธิปัตย์มองดูนาฬิกาข้อมือของตนเอง “ผมอาจจะกลับเช้าคุณก็ใช้ห้องผมได้ตามสบายแต่อย่าทำมันรกละ”
“ผมว่ามันคงไม่รกกว่าที่มันควรจะเป็นหรอก” ฌานเดินออกมาที่ประตูแล้วก็ถูกเรียกไว้ก่อน ชามองด้วยหางตาก็ยกมือรับวัตถุที่โยนข้ามอากาศมาได้พอเหมาะ เขาพลิกมือดูก็เห็นพวกกุญแจรถยนต์
“เอารถผมไปเถอะ อย่าทำตัวเป็นแบคแมนเลย”
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว”
ฌานส่ายหน้าแล้วหัวเราะในลำคอขณะเดินออกมาจากห้องทดลองกลับออกมาทางเดิม รปภ.คนเดิมเปิดประตูให้และทักทายเหมือนตอนขาเข้า
“ให้ผมกางร่มไปส่งไหมครับ”
“ไม่เป็นไร ผมชอบฝน”
ฌานยิ้มขอบคุณและเดินมาที่ลานจอดรถ มือใหญ่กดปุ่มบนพวงกุญแจรถเสียงดัง ปิ๊ปๆ กับไฟกระพริบหน้ารถทำให้เขารู้จุดที่รถจอดแม้ว่าเขาอาจจะใช้ ‘สัญชาตญาณ’ นำทางก็ได้
สายฝนที่โปรยปรายลงมาสะท้อนกับแสงไฟจากแสงสีส้มของโคมไฟเป็นประกายระยิบระยับ เขาชอบสายฝนยิ่งนักอาจเพราะมันช่วยพรางกลิ่นกายของเขาจากศัตรูได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันให้ความรู้สึกที่ชุมชื้นแม้จะไม่ส่งถึงหัวใจที่แห้งผากของเขาก็ตามที
มือใหญ่ขยับจับกระจกส่องหลังเห็นใบหน้าของตนเองแล้วก็เผลอยิ้มที่มุมปาก ผ่านมานานกว่าสามปีแต่รสชาติที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากยังคงหวานระเรื่อให้คิดคำนึงอยู่เสมอ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่เติบเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิตของเขา
ไม่เจอกันสามปี ไม่รู้ว่าป่านนี้ยังคง ‘ฝัน’ ถึงเขาอยู่หรือเปล่านะ
..
ยิหวาลุกขึ้นจากโต๊ะคอมพิวเตอร์เพื่อหยิบพจนานุกรมแต่แล้วเธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าด้านนอกมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา หญิงสาวเดินไปที่หน้าต่างปลายนิ้วแตะกระจกหน้าต่างเบาๆ แล้วลากเส้นบนกระจกอย่างไม่รู้ตัว เธอกำลังเขียนสารคดีชุดหนึ่งเพื่อใช้มันส่งประกวดและเผื่อไว้สมัครงานที่นิตยสารท่องเที่ยวที่อื่นความจริงที่ไม่อาจจะหลอกตัวเองได้ว่าเธอคงไม่มีวันได้ทำงานสายข่าวการเมืองแน่ๆ หากบิดาของเธอยังคงสนุกสนานกับการเล่นการเมือง เธอถูกกีดกัดทุกวิถีทางไม่ให้ทำงานอะไรที่ข้องเกี่ยวกับการเมือง ดูมันจะไร้สาระไปหน่อยโดยเฉพาะพ่อแม่ที่แยกทางกันแล้ว พ่ออาจจะไม่ไว้ใจและคิดว่าเธอต้องคิดแก้แค้นขุดคุ้ยเอาเรื่องเน่าๆ ในวงการการเมืองมาเล่นงาน เธอไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการเป็นกระบอกเสียงที่ซื่อสัตย์ให้พี่น้องประชาชนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นเธอก็ควรสำนึกบุญคุณของพ่อที่ยังส่งให้เธอเรียนจนจบมหาวิทยาลัยอย่างไม่เดือดร้อน และนี่อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่ผลักดันให้เธอหางานทำให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้เป็นที่พึ่งของแม่ได้
ชีวิตมันต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องก้าวต่อไป
ยิหวาให้กำลังใจตัวเอง ตอนนี้เธอกำลังหาข้อมูลเกี่ยวการปล่อยสารพิษของโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของสัตว์เลื้อยคลาน แต่ยิ่งทำยิ่งเจอแต่ปมปัญหามกมายจนรู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวเข้าสู่เรื่องที่ไม่ควรรู้
กริ๊งงงงงง
ร่างเพรียวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านที่วางไว้อยู่ใกล้เตียงนอน เธอรีบผวาไปรับสายทันที “ยิหวาค่ะ”
“หวา!ไปทำข่าวงานประกาศผลรางวัลฯได้ไหม”
“ทำไมละคะ ก็พี่ชิงให้คนอื่นไปทำแล้วนี่” เธอกรอกเสียงตอบประสาทหูยังได้ยินเสียงวุ่นวายจากปลายสายจึงเดาได้ไม่ยากว่าบก.หนุ่มยังอยู่ที่ทำงาน เธอจึงไม่แปลกใจที่บก.ขี้เหนียวของเธอจะโทรศัพท์เข้าบ้านเพื่อประหยัดเงินของบริษัทฯ
“ใช่แต่คนมันท้องเสียจะให้ไปยังไง คนอื่นพี่ก็ส่งไปที่อื่นหมดแล้ว”
“รู้สึกเหมือนตัวเองมีค่ายังไงไม่รู้” เธอรู้ว่าบก.ไม่อยากให้เธอไปต่อปากต่อคำกับใครเท่าไหร่นักจึงส่งไปทำสัมภาษณ์งานในส่วนอื่นมากกว่า
“ตกลงเราไปน่ะ”
“ทำอย่างกะหวาจะเลี่ยงได้” เธอหัวเราะแล้วหยิบปากกาวนเป็นวงกลมที่ตัวเลขบนปฏิทินตั้งโต๊ะ“แต่งตัวยังไงก็ได้ใช่ป่ะ”
“อย่าให้สวยเกินดาราแล้วก็อย่าให้ขี้เหร่ขนาดขายหนังสือพิมพ์หน้าก็พอแล้ว”
“งานหนักเลยนะเนี่ย” เธอเอาปากกาเคาะหัวตัวเองสองสามครั้ง “ไปกับใครคะ”
“หวานใจแกนั้นแหละ”
“โอเคถ้าไปกับคนรู้ใจก็ไม่มีปัญหาค่ะ” เธอยิ้ม “มีค่าโอทีไหมคะ”
“ยังจะมาพูดมากอีก แค่นี้นะพี่ยุ่งวะ”
“เจ้าคะพี่ชิง...”
“ชิงชัย! พูดให้มันครบๆ หน่อยซิ”
ปลายสายวางโทรศัพท์ไปแล้วยิหวาจดบันทึกงานก่อนจะวางหูแล้วเดินลงมาชั้นล่าง แม่กับปลายรุ้งยังนั่งคุยกันอยู่หน้าจอโทรทัศน์ บนโต๊ะเตี้ยๆ มีหนังสือเล่มหนาหลายเล่ม คุณช่อแก้วเคยเป็นครูภาษาอังกฤษมาก่อนจึงคอยช่วยเหลือตรวจดูความถูกต้องในการแปลหนังสือของปลายรุ้งเสมอๆ
ปลายรุ้งเงยหน้ามองยิหวาที่ก้าวลงบันไดแล้วก็หลบตาวูบในขณะที่คุณช่อแก้วยังนั่งนิ่งๆ แสร้งเปิดนิตยสารเหมือนไม่สนใจอะไร แต่ยิหวาก็ยิ้มที่มุมปากยกมือเท้าเอวตรงหน้าสองสาวต่างวัย
“แอบฟังโทรศัพท์หวาอีกแล้วละซิ”
