บทที่ 5 - โชคชะตาหรือความบังเอิญ
ที่โรงพยาบาล...
“ฟื้นแล้วหรือครับ... คุณหมอบอกว่าคุณตกใจเลยสลบไป”
“ก็ใช่นะซิ ก็คุณเกือบชะ” เธอไม่ทันได้จบประโยค เพราะพอเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผู้ชายตรงหน้าดี ๆ เธอก็เริ่มจำได้ว่าไม่ใช่ ”เขา” ... “อุ่ย ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันมองหน้าคุณให้ชัดก่อน คุณเป็นคนพาฉันมาส่งโรงพยาบาลหรอคะ”
“ครับ”
“ขอบคุณมากนะค่ะ ที่พาฉันมาส่งที่โรงพยาบาล” นารินรู้สึกตัวและขอบคุณชายที่พาเธอมาที่นี่
“ไม่เป็นไรครับ... ดึกแล้วให้ผมไปส่งที่ไหนดีครับ”
เธอก้มมองนาฬิกาข้อมือของเธอ เที่ยงคืน!
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากจนเกินไป รบกวนไปส่งฉันที่สถานีรถไฟอองทีบด้วยค่ะ พอดีบ้านฉันอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น”
“ได้ครับ งั้นเชิญทางนี้ครับ”
รถนั่น! เธอหยุดที่รถ ไม่ยอมขึ้นรถ นาธานจึงพูดว่า “เออครับคือ คุณโนแอลให้ผมพาคุณมาที่โรงพยาบาล”
นารินได้แต่คิดในใจ ... ขนาดเกือบชนคนตายยังให้ลูกน้องมารับผิดชอบต่อ คนรวยเป็นแบบนี้กันทั้งโลกหรือเปล่านะ...
“ค ค่ะ” เธอตอบรับแค่นั้นและเดินขึ้นรถไป
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับทุกอย่าง” เมื่อรถจาร์กัวมาจอดที่สถานีอองทีป เธอกล่าวลานาธานด้วยความสุภาพ ก่อนจะลงจากรถไป
“กลับมาแล้วหรอแก” ลิเดีย รูมเมทชาวอังกฤษทักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนารินเปิดประตูเข้าห้องมา
“อืม...”
“ทำไมกลับเอาป่านนี้หละแก งานลากยาวหรอหรือยังไง แล้วกลับมายังไง รถเมย์คันสุดท้ายหมดไปเมื่อชั่วโมงกว่าๆที่แล้วไม่ใช่หรอ” ลิเดียถามรูมเมทซะยาว “และทำไมสภาพแกเหมือนลูกหมาตกน้ำแบบนั้นอ่ะ นี่แกไปเป็นล่ามหรืออะไร”
“เรื่องมันยาวแก” นารินทิ้งตัวลงบนเตียงและพูดต่อว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เล่าให้ฟังนะ เพลียมากจริง ๆ วันนี้”
“เออ ๆ แล้วอย่าลืมนะว่าพรุ่งนี้เราต้องไปที่มูลนิธิอองแฟงท์”
“อืม ไม่ลืม” นารินตอบแบบตายังหลับอยู่
“ตามนั้น งั้นแยกกันไปนะ เพราะพรุ่งนี้ฉันต้องเข้ามหาลัยก่อน ไว้ไปเจอกันที่นั้นเลย 11 โมง” ลิเดียพูดจบหันมามองเพื่อนตัวเอง “หลับเมื่อไรก็ไม่บอก สงสัยจะเหนื่อยจริง”
................................................
9 โมงเช้า นาฬิกาปลุกดังขึ้นเพื่อปลุกนารินตื่นจากฝัน เมื่อร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ นารินลืมตาตื่นด้วยความกระปี้กระเป๋า เธอเด้งตัวออกจากเตียงไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปสอนภาษาเด็กกำพร้าที่มูลนิธิอองแฟงท์ ซึ่งเธอกับลิเดียจะไปอาทิตย์ละครั้ง
ที่มูลนิธิอองแฟงท์ไม่ได้มีแค่เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศสเท่านั้น แต่มีหลากหลายเชื้อชาติปะปนกันทั้งทางฝั่งเอเชีย แอฟริกัน และอเมริกัน ภาษาหลัก ๆ ที่นารินสอนคือภาษาไทย ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งถือเป็นภาษาที่เธอพูดได้ตั้งแต่เกิด ในบางครั้งเธอก็รับสอนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสถ้าครูไม่พอในอาทิตย์นั้น ๆ
.................................................
“มอนิ่งครับ” นาธานกล่าวทักทายนายหนุ่มและรับตะกร้าจากมือของเขาไปไว้ท้ายรถ
“ไปมูลนิธิอองแฟงท์” โนแอลขึ้นไปนั่งเบาะด้านหลังคนขับและแจ้งสถานที่ให้แกคนขับรถประจำของเขา
“ครับท่าน”
นาธานรู้ทันทีว่าโนแอลน่าจะมีเรื่องให้ต้องคิด หรือเรื่องที่ไม่สบายใจเขาถึงต้องไปที่นั่น
มูลนิธิอองแฟงท์ดูแลเด็กกำพร้าประมาณ 500 กว่าคนบนพื้นที่หลายร้อยไร่นอกเมืองคานน์ออกไปประมาณ 30 นาที ผู้บริจาคหลักของที่นี่เป็นใครไปไม่ได้นอกจากดีนไวน์นารี่ตั้งแต่โนแอลถูกรับมาเลี้ยง และเมื่อ 5 ปีก่อน โนแอลได้กว้านซื้อพื้นที่รอบ ๆ มูลนิธิไว้หมดด้วยความตั้งใจที่จะขยายมูลนิธิให้ใหญ่กว่าเดิมเพื่อรับรองจำนวนเด็กกำพร้าที่เพิ่มขึ้นทุกปี
“ให้ผมรอ หรือท่านจะโทรให้ผมกลับมารับครับ”
“เดี๋ยวโทรไป”
“ครับ”
โนแอลลงจากรถพร้อมตะกร้าอาหารเช้าที่เขาตื่นแต่เช้ามาเตรียมด้วยตนเองและเดินเข้าไปที่ห้องผู้อำนวยการหญิงที่เขาเคารพเหมือนแม่แท้ ๆ
“อาหารเช้ามาส่งแล้วครับ”
“โนแอล! ทำไมจะมาไม่โทรมาบอกแม่ก่อน”
มาดามลูอิสลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานเดินไปหา “ลูกชาย” ที่ยืนหล่ออยู่ที่ประตูห้องและสวมกอดเขาด้วยความคิดถึง
“ผอมไปนะเรา” มาดามทักลูกชายที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือน
เธอคลายอ้อมกอดของเธอและจับที่หน้า และตัวลูกชายเหมือนกำลังตรวจดูว่ามีอะไรหักหรือหายไปไหม และพูดต่อว่า “หายไปหลายเดือนเลยนะรอบนี้ งานเยอะซินะ”
“ครับ แต่มันจบแล้ว”
มาดามรู้เลยว่าการที่เขามาถึงที่นี่มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เธอจึงพูดต่อไปว่า “ไหนวันนี้ทำอะไรมาให้แม่กิน กำลังหิวอยู่พอดีเลย”
เธอหยิบเอาตะกร้าอาหารนั้นขึ้นไปวางไว้ที่มุมโต๊ะรับแขก โดยมีโนแอลเดินตามหลังมาติด ๆ
“คุณแม่ สบายดีนะครับ... ผมบอกกี่ทีแล้วว่าอย่าโหมงานหนัก ให้คนอื่นทำบ้าง หรือถ้าคนไม่พอให้โทรบอกผม”
“ฮ่า ๆ นี่แกกำลังบอกว่าแม่ดูโทรมลงหรือไง”
“เปล่าซะหน่อย แม่สวยในสายตาผมเสมอ”
“ฮ่า ถ้าแกพูดดี ๆ แบบนี้กับคนอื่นให้ได้ครึ่งนึงกับที่พูดกับแม่ก็คงดี...แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มาที่นี่ได้วันนี้...อยากเล่าให้แม่ฟังไหมลูก”
“มาเพราะความคิดถึงล้วน ๆ”
มาดามรู้จักลูกชายคนนี้ดีว่าเขาปากหนักแค่ไหน ถ้าลองไม่อยากพูดอยากบอกอะไร ก็ไม่มีใครหรืออะไรมาง้างปากเขาได้
“จ่ะ พ่อลูกชาย..แล้ววันนี้จะอยู่นานไหม”
“ซักสองสามชั่วโมงครับ...ผมมีอะไรให้ต้องคิดหน่อย”
“ตามสบาย.. วันนี้แม่จะยุ่ง ๆ หน่อย” เธอหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ที่กำแพงที่บอกเวลา 9 โมง “เดี๋ยวอีก 2 ชั่วโมงก็จะมีนักจิตอาสาเข้ามาสอนภาษาให้เด็ก ๆ ... วันนี้มาดามอลิสป่วย แม่ต้องเข้าไปช่วยดูเด็ก ๆ”
“รับทราบครับผม... งั้นแม่ยิ่งต้องกินเยอะ ๆ เลย วันนี้ผมทำแซนวิชแซลมอนของโปรดแม่มาให้ ทานเยอะ ๆ นะครับ”
วิถีปกติของการมาใช้เวลาที่มูลนิธินี้ของโนแอลคือการเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดของมูลนิธิ หรือในหน้าร้อนเขาก็จะหยิบหนังสือจากห้องสมุดออกไปอ่านในสวนข้างนอก หรือไม่เขาก็ออกไปเดินเล่นรอบ ๆ มูลนิธิเฉย ๆ เพื่อเคลียร์สมอง ซึ่งในวันนี้เขาเลือกทำวิธีนี้ ถึงแม้ว่าอากาศข้างนอกจะค่อนข้างหนาว
“ลิเดีย!!!”
เจ้าของชื่อหันกลับไปมองหาเจ้าของเสียงเรียกและโบกมือเรียก ลิเดียยืนรอนารินอยู่ที่ลานด้านหน้าของมูลนิธิซึ่งห่างจากป้ายรถเมย์ประมาณ 5 นาที
“นึกว่าจะมาสายซะแล้ว รถเมย์มาช้ามาก ป่ะเราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
เวลา 10.50 น. ครูจำเป็นสองคนเดินเข้าไปที่ห้องผู้อำนวยการ
“สวัสดีคะมาดามลูอิส” สองสาวกล่าวทักทายมาดามลูอิสอย่างคนคุ้นเคย
“มากันแล้วหรอสาว ๆ... ป่ะ เด็ก ๆ รออยู่ที่ห้องโถงใหญ่แล้ว ครูอาสาคนอื่น ๆ รออยู่ที่นั้นแล้ว”
ทั้งสามคนเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ เสียงของทั้งเด็กและครูที่ดังอืออึงออกไปถึงข้างนอกทำให้โนแอลอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาดูต้นเหตุของเสียง เขายืนแอบดูอยู่ที่ประตูห้องโถงและสายตาของเขาก็มองไปเห็นผู้หญิงผมม้า หน้าเอเชีย ที่กำลังร้องเพลงและปรบมือไปกับเด็ก ๆ ด้วยความร่าเริง
“นั่นมันยาย..ชื่ออะไรนะ?... ช่างมันเถอะ” เขาบ่นกับตัวเอง แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ผู้หญิงที่เขาจำชื่อไม่ได้ รอยยิ้มกว้าง เสียงหัวเราะ ความร่าเริง และความสดใสของเธอทำให้เขาอดนึกถามตัวเองไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่เขาหัวเราะได้แบบนั้นคือตอนไหน เขาจะได้หัวเราะแบบนั้นอีกไหม จะมีอะไรหรือใครที่จะทำให้เขาหัวเราะได้แบบนั้นบ้าง มันต้องรู้สึกยังไงถึงจะหัวเราะออกมาได้แบบนั้น
และในขณะนั้นเอง ความทรงจำบางส่วนในอดีตก็กลับมาเยี่ยมเยือนเขาอีกครั้ง ตอนที่เขาอายุประมาณ 15 ปี เขาคบหาดูใจกับผู้หญิงคนนึงที่เรียนอยู่ที่เดียวกัน เขาและเธอคบหาดูกันใจมาสามปี สำหรับเขามันเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมาก เพราะตั้งแต่เกิดมา เขาไม่รู้แม้แต่ว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิดเขา ความรักเดียวที่เขาได้คือ จากมาดามลูอิส ถึงแม้ว่าคูเปอร์จะรักเขาเหมือนลูกแท้ ๆ แต่มันก็ไม่เหมือนกัน การถูกรักและได้รับความรักจากเธอคนนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษมากเพราะมันทำให้โลกทั้งใบของเขาเป็นสีชมพู
แต่มีอยู่วันนึง เขาบังเอิญไปได้ยินเธอคุยกับเพื่อนว่าที่เธอทนคบเขาก็เพราะเป็นลูกชายคนเดียวของผู้ผลิตไวน์รายใหญ่ และการที่สังคมรู้เรื่องที่เขาสองคนเป็นแฟนกันนั้น ส่งผลดีต่อธุรกิจของครอบครัวเธอมาก มากไปกว่านั้น จริง ๆ แล้วเธอมีใจให้รุ่นปีอีกคน
เขารู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เธอเป็นรักแรกและรักสุดท้ายของเขา เพราะตั้งแต่วันนั้น เขาก็หมดศรัทธาในเรื่องความรักไปจนหมดสิ้น ขนาดพ่อแม่แท้ ๆ ของเขายังทิ้งเขาได้ นับประสาอะไรกับคนอื่น ฐานะหน้าตาทางสังคม เงินและอำนาจต่างหากที่สามารถบันดาลทุกสิ่งให้เป็นไปตามใจเขาได้ และตั้งแต่นั้นมา เขาก็ทุ่มเทสุดตัวในการเรียนและเรียนรู้งานบริหารจากคูเปอร์ไปพร้อม ๆ กัน
ความเข้าใจของโนแอลในครั้งนั้นจนถึงตอนนี้ก็ไม่ผิดซะด้วยซิ เพราะอาวุธสำคัญที่พระเจ้าให้ติดตัวมาคือเบ้าหน้าฟ้าประทานของเขา บวกกับหัวธุรกิจที่ไม่รู้ว่าเป็นพรสวรรค์หรือพรแสวงหรือทั้งคู่ ที่ทำให้เขามีทุกอย่างที่เขาอยากได้ ยกเว้น เสียงหัวเราะนั่น
“คนบ้าอะไร หัวเราะอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด” เขาพูดกับตัวเองและหันหลังเดินออกมา มุ่งหน้าไปที่ห้องสมุดของมูลนิธิ
“ไหน ๆ เล่ามาซิว่าทำไมกลับดึกขนาดนั้นเมื่อวาน” เสียงผู้หญิงคนแรกดังขึ้นในห้องสมุดที่เธอคิดว่ามีแค่เธอและเพื่อนสาวเท่านั้น
“แกรู้จัก ดีนไวน์นารี่ไหม”
“รู้ซิ มีใครในฝรั่งเศสไม่รู้จักชื่อนี้บ้าง โดยเฉพาะลูกชายเจ้าของบริษัทนะแก อือหือออออ คือหล่อแบบเปลืองมากอ่ะ”
“หล่อแต่รูปจูบไม่หอมหล่ะไม่ว่า คนอะไรไร้มารยาทสุด ๆ รังสีอำมหิตในตัวเขาแผ่เป็นวงกว้างมาก พูดแล้วยังขนลุกอยู่เลยเนี่ย ผู้ชายอะไรช่างไม่น่าเข้าใกล้เอาซะเลย ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงมีผู้หญิงอยากได้เขานัก”
“เดี๋ยวๆ นะ หยุดตรงนั้น .. นี่แกอย่าบอกนะว่า ลูกค้าแกคือ โนแอล ดีน”
“อืม”
ลิเดียถึงกับเบิกตากว้างเพราะไม่เชื่อหูตัวเอง “เห้ย!”
“ชู่ๆๆ! เบาเสียงหน่อยซิแก” นารินรีบเอามือปิดปากเพื่อน
“ทำไมไม่เป็นฉานนนนนนนนนนนนนนนนนน”
“นี่แกก็อีกคนหรอเนี่ย” นารินแสดงอาการหงุดหงิดกับสิ่งที่เพื่อนเธอเพิ่งพูด “ฉันให้แกไปยุ่งกับคนแบบนั้นไม่ได้หรอก ละแกรู้ไหมว่าเขาเกือบขับรถชนฉัน หนักไปกว่านั้น ยังไม่มีความรับผิดชอบอีก ให้เลขาตัวเองพาฉันไปส่งโรงพยาบาล”
“เห้ย!”
“ชู่ๆๆ! เบาเสียงหน่อยซิแก”
“แล้วแกเป็นอะไรมากปะเนี่ย” ลิเดียจับหัว หน้า ตัว นารินเพื่อตรวจหารอยแผล
“ฉันไม่เป็นไร แค่ตกใจเป็นลมไป”
“โล่งออกไปที...ไม่น่าหล่ะ สภาพแกเมื่อวานถึงเหมือนลูกหมาตกน้ำ”
“อืม ก็แค่นี้แหละแก”
“แล้วแกจะได้เจอเขาอีกป่ะ เอาฉันไปด้วยนะ นะ นะ”
“ลิเดีย!” นารินตีแขนเพื่อนเบา ๆ เพื่อเรียกสติเพื่อนตัวเอง “ใครจะไปเจอนายนั่นก็เชิญเลย ฉันเจอครั้งเดียวก็เกินพอ อย่าได้เจอกันอีกเลย”
คนที่มาก่อน ไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังเรื่องของชาวบ้านเลย แต่เพราะหนีไปไหนไม่ได้ นั่งกำมือแน่น ๆ อยู่ที่มุมอ่านหนังสือของเขา
