บทที่ 1 - อยากได้ ต้องได้
รถจาร์กัวสีเงินมุก รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นถูกขับเคลื่อนเข้าไปจอดที่หน้าโรงแรม ริช คาร์ลตัน ในเมืองคานน์
“สวัสดีครับ มิสเตอร์ดีน”
เด็กรับรถรับกุญแจมาจากเขาเหมือนที่เคยและขับไปจอดไว้ที่ที่จอดรถแขกวีไอพี
เขาเดินลงจากรถและมุ่งหน้าที่ห้องสวีทที่อยู่ชั้นบนสุด แต่ระหว่างทางก่อนถึงลิฟต์ เขาก็เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นชาวต่างชาติที่กำลังโวยวายอยู่ เพราะเสียงที่น่ารำคาญรบกวนโซนประสาทของเธอ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหยุดฟัง
“แถวนี้ไม่มีใครพูดภาษาไทยเลยหรือยังไง โรงแรมระดับ 6 ดาวภาษาอะไร ไม่มีล่ามประจำ” หญิงสาววัยไม่เกิน 30 ที่มองหัวจนเท้า ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ใช่แบรนด์แนม “ก็บอกว่า ฉันจะเอาห้องสวีทนี้” เธอตะโกนใส่หน้ารีเซปชั่นที่ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไร
“มาแล้วครับ ล่าม” ผู้จัดการโรงแรมลากแขนหญิงสาวหน้าเอเชียอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหญิงสาวเสียงน่ารำคาญนั้น
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการอะไรคะ” หญิงสาวหน้าเอเชียพูดภาษาไทยกับแม่สาวแบรนด์แนม
“อ้อ นาริน เธอช่วยบอกคุณคนนี้ทีว่า ห้องนี้มีคนจองไว้แล้ว ไม่ได้จริง ๆ ให้เธอเลือกห้องอื่นได้ไหมและผมจะสมนาคุณให้เป็นบัตรกำนัลอาหารเย็นให้ทุกวันจนกว่าจะเช็คเอ้าท์” ผู้จัดการกล่าว
“นี่พวกเธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นลูกสาวรัฐมนตรีกระทรวงพานิชย์ของประเทศไทย ฉันบอกว่าห้องนี้ก็ต้องนี้” เธอยังยืนยันเสียงแข็ง
ล่ามสาวแปลสิ่งที่เธอต้องการให้กับผู้จัดการโรงแรม คนที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นได้ยินเข้า เขาจึงเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์ และพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า
“ให้เธอไปเถอะครับ ผมใช้ห้องอื่นได้”
ผู้จัดการโรงแรมหันควับไปมองเจ้าของเสียง “มิสเตอร์ดีน!...เออ.. คือ”
แม่สาวแบรนด์แนมดูเหมือนจะลืมเรื่องที่อยากได้ห้องสวีทอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อกี้ไปอย่างปลิดทิ้ง จากอารมณ์ หน้าตาและสายตาเหวี่ยงวีนเกรี้ยวกราดเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานสงบเสงี่ยมและจ้องผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้ามากลางวงสนทนาแทบจะไม่กระพริบตา
“ชื่อเสียงของโรงแรมและเมืองคานน์คงไม่ดีแน่ถ้าคุณผู้หญิงคนนี้ไม่ได้พักในห้องที่เธอต้องการ เจ้าบ้านอย่างผมควรจะเสียสละ” เขาพูดกับผู้จัดการโดยสายตาของเขาจดจ้องไปที่แม่สาวแบรนด์แนมที่ตอนนี้ยืนเขินอายม้วนอยู่เพราะต้านทานความหล่อล้นของเขา
“จะดีหรอครับ” ผู้จัดการไม่ค่อยแน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินเพราะคนอย่างมิสเตอร์ดีนอยากได้อะไรก็ต้องได้ และไม่มีใครสามารถขัดเขาได้ เพราะทีโรงแรมนี้ เขาคือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด
เขาเดินไปตบไหล่ผู้จัดการโรงแรมและแค่มองเขาเฉยๆ ถือว่าเป็นที่รู้กันว่า อย่าให้เขาต้องพูดอะไรซ้ำ ๆ
“ด ได้ ครับ มิสเตอร์ดีน”
“ผมต้องขอโทษแทนพนักงานด้วยครับที่เสียมารยาท พวกเขาแค่ทำตามหน้าที่ เดี๋ยวพวกเขาจะจัดการเรื่องห้องให้คุณตามที่คุณต้องการ” เขาพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสพร้อมกับโปรยยิ้มให้กับแม่สาวแบรนด์แนมและหยุดนิ่งไปซักพัก แต่พอสิ่งที่เขาต้องการให้เกิดไม่เกิดขึ้น เขาก็หันหาล่ามสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเขาด้วยสายตาเข้มขึง
ผู้จัดการอ่านสายตานั้นออกจึงรีบสะกิดบอกให้ล่ามแปล “นาริน แปลๆ”
นารินที่กำลังประติดประต่อเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ก้าวขึ้นไปยืนข้าง ๆ เขาและทำหน้าที่แปลสารนั้นแบบงงๆ
“เอิ่ม... ปกติธิดาก็ไม่อยากโวยวายอะไรแบบนี้หรอคะ.. ธิดาคงกำลังเจทแลค” แม่สาวแบรนด์แนมตอบกลับโดยพยายามเก็บแสดงอาการ “อยากได้” คนตรงหน้าสุดพลัง
นารินถึงกับเบิกตากว้างเมื่อต้องแปลสาร “ปลอม ๆ” ที่แม่สาวแบรนด์แนมพูด
“ครับ... ถ้าคุณธิดาไม่รังเกียจ ผมขออนุญาตเลี้ยงข้าวเย็น ถือเป็นการขอโทษ” เอามองดูนาฬิกา (บ่าย 2) และพูดต่อว่า “เย็นนี้เป็นไงครับ.. ถ้าคุณธิดาไม่เพลียมาก”
นารินเบิกตากว้างกว่า ในหัวคิดว่า .... ตานี่ท่าทางจะไม่ใช่คนธรรมดา...อ่อยเก่ง...เพลย์บอยตัวพ่อแน่นอน... อย่าหลงกลเขานะ...ตานี้ไม่ได้มาดีแน่นอน...
ธิดาถึงกับเสียอาการเล็ก ๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่ต้องการออกจากปากเขาแต่เธอก็ยังพยายามรักษาอาการผู้ดีไว้เท่าที่เธอทำได้ ถึงแม้ว่าชายตรงหน้าและทุกคนในวงสนทนารู้ถึงความต้องการของเธออย่างชัดเจน
“เอิ่ม... จริง ๆ แล้วธิดาก็มีนัดกับเพื่อนอะนะคะ แต่เดี๋ยวธิดาเคลียร์คิวให้ละกันค่ะ” เธอตอบแบบเชิด ๆ เลิศ ๆ ในแบบของเธอ
นารินอดหัวเราะคิก ๆ เบากับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ได้... หมดกัน ภาพลักษณ์ผู้หญิงไทย ยายนี้ทำพังหมดแล้ววววว รักษาอาการหน่อยแม่คุ๊ณ เขารู้หมดแล้ววว.. นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!!!....
“ขอบคุณครับ.. ถ้างั้นทุ่มนึงผมมารับนะครับ” พูดจบเขาก็ส่งรอยยิ้มพิฆาตสยบนารีให้และพูดต่อพร้อมยื่นมือข้างขวาเขาออกไปทางธิดา “คุยกันมาตั้งนาน ผมนี่เสียมารยาทจริง ๆ... ผมโนแอล ดีน ครับ คุณ...”
เธอรีบคว้ามือเขามาจับและตอบกลับไปว่า “ธิดา .. ธิดา ทรัพย์ไพศาลอุดม ค่ะ... ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
นารินกำลังจะอ้าปากแปล แต่ดูเหมือนว่าแม่สาวแบรนด์แนมจะเดาได้ว่าเขาพูดว่าอะไร ... แต่ถึงยังไงเธอก็ยังทำหน้าที่ล่ามแปลสารนั้นต่อไป .... ปล่อยฉันไปซักที นารินคิดในใจ
“เช่นกันครับ” มือใหญ่ของเขากุมมือของเธอแน่นขึ้น และส่งยิ้มมุมปากให้เธอพร้อมส่งสายตาพิฆาตสยบนารีให้เธออีกครั้ง “แล้วพบกันครับ”
พูดจบเขาก็หันมาขึงตาเข้มใส่ผู้จัดการและสะบัดหน้าเบาๆ ไปทางนาริน ผู้จัดการยังไม่ทันได้คำนับรับทราบ เขาก็เดินไปที่ทางออกของโรงแรมแล้ว
นารินที่ยืนงงอยู่ตรงนั้น และคิดในใจว่า ... ไร้มารยาทจริง ๆ ตานี่ ไบโพล่าป่ะ เมื่อกี้เห็นพูด ๆ เป็นต่อยหอย ยิ้มแย้มร่าเริง พอได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วก็ปัดตูดไปงี้ คำขอบคุณซักคำก็ไม่มี คนรวยที่นี่เขาไม่มีสอนมารยาทพื้นฐานทางสังคมกันเลยหรือไง..ไปได้ซะก็ดี ผู้ชายอะไรแผ่รังสีอำมหิตไปทั่ว อย่าได้เจอกันอีกเล๊ย แค่คิดก็ขนลุกละ....
นารินหันมาถามผู้จัดการว่า “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ”
“ตรงนี้ ตอนนี้ อ่ะใช่ครับ แต่เออ.. เย็นนี้คุณนารินว่างไหมครับ”
“เย็นนี้นารินไม่สะดวกค่ะ ทำไมหรอคะ”
ผู้จัดการได้ยินคำตอบนั้น ถึงกับกุมขมับ และหันไปทำตาหวานใส่นารินและพูดว่า “คือ เย็นนี้ที่มิสเตอร์ดีนมีนัดกับคุณผู้หญิงคนนี้ คือเออ.. เขาต้องการล่ามด้วยครับ.. ผมหมายถึง เขาให้ต้องการคุณเป็นล่ามให้เขาครับ”
นารินถึงกับทำท่าเคาะขี้หูเพราะไม่แน่ใจว่ากับสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อกี้
“นาริน ขอบคุณสำหรับโอกาสนะคะ แต่เย็นนี้นารินไม่สะดวกจริง ๆ ค่ะ”
ผู้จัดการรู้ดีว่าถ้าเย็นนี้โนแอลไม่ได้ล่ามเป็นนาริน หน้าที่การงานของเขาจบลงแน่นอน และจึงต้องใช้ไม้ตายพูดกับนาริน
“ผมได้ยินมาว่า คุณสมัครงานเป็นล่ามประจำที่นี่มาสองสามเดือนที่แล้ว และทางเราก็ปฏิเสธไปเพราะคุณไม่มีใบอนุญาตทำงาน... ถ้าคุณรับงานนี้ ผมจะรับคุณเข้าทำงานที่นี่ทันที และเรื่องเงินเดือน คุณขอมาเท่าไร ผมจะให้คุณเพิ่มสองเท่า... ไม่ซิ สามเท่าไปเลย”
สามเท่า! นารินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินข้อเสนอนั้น ... บ้าไปแล้ว! เอายังไง นาริน ได้ทั้งงาน ทั้งเงินเลยนะแก เงินเยอะด้วย เรซูเม่แกจะปังมากถ้าได้ทำงานที่โรงแรมนี้ และแกก็จะไม่ต้องเหนื่อยหางานอื่นแล้ว แกจะมีเวลาเขียนวิทยานิพนธ์มากขึ้น และก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเช่าห้อง ค่ากินค่าอยู่แล้ว แถมแกยังมีเงินเหลือส่งกลับไปให้พ่อแม่ที่ไทยอีก โอกาสมาแล้วนาริน... แต่ฉันไม่อยากทำงานให้กับตาบ้านี่ ต้องมานั่งแปลคำหวานเลี่ยนปลอม ๆ ... แค่คิดก็สะอิดสะเอียนแล้ว...
“คุณนารินครับ” ผู้จัดการที่ลุ้นอยู่กับคำตอบจากนารินเรียกสติเธอกลับมา “ตกลงไหมครับ.. ถ้าตกลง ผมจะให้ฝ่ายบุคคลของเราจัดการเขียนสัญญาให้เลยตอนนี้”
... งื้อ มัดมือชกชัด ๆ ...
“ผมจะเซ็นอนุมัติเงินล่วงหน้าให้ด้วยสามเดือน ถือเป็นคำขอบคุณที่มาช่วยเราเมื่อซักครู่นี้” ผู้จัดการพูดขยี้ข้อเสนอของเขาให้น่าสนใจมากขึ้น
... เอาว๊ะ นาริน แค่เย็นนี้เอง ไม่กี่ชั่วโมงเองเพื่อประโยชน์ระยะยาว...
“ค่ะ...”
ผู้จัดการได้ยินแค่นั้นก็หน้าบานเหมือนได้โล่ แต่ด้วยมาดผู้จัดการเขาจึงต้องเก็บอาการนั้นไว้ เขารีบคว้าโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่น
“ผมเองนะ เดี๋ยวอีกไม่เกิน 10 นาทีจะมีพนักงานคนใหม่เข้าไป ผมฝากดำเนินการต่อด้วย เดี๋ยวผมเข้าไปเซ็นสัญญาทีหลัง ... สัญญา 1 ปี .. 3 เท่า .. ทำตามที่บอกไม่ต้องถามมาก”
เขาก็วางหูลงแล้วหันไปพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบกับพนักงานต้อนรับคนนึงว่า “ช่วยพาคุณนารินไปที่แผนกบุคคลด้วย และช่วยจัดการเรื่องเสื้อผ้าให้เธอด้วย”
พนักงานต้อนรับคนนั้นพยักหน้ารับคำสั่ง ในขณะที่นารินก้มมองชุดที่เธอใส่มา เสื้อยืดสีขาว ถูกคลุมด้วยเสื้อกึ่งสูทกึ่งเสื้อคลุมสีดำ กางเกงผ้าคอตต้อนขายาวสีดำ และรองเท้าคัดชูสีดำ
ก่อนที่นารินจะได้ถามอะไร ผู้จัดการก็พูดขึ้นมาว่า “แล้วพบกันเย็นนี้หกโมงครึ่งครับ” และเขาก็เดินจากไป
เธอเดินตามพนักงานต้อนรับสาวไปด้วยความงงงวยกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น .... ปะ เปลี่ยนชุด? ชุดฉันไม่ดีตรงไหน นี่ซาร่าเลยนะ ...
คนขับรถจาร์กัวสีเงินมุกเปลี่ยนแผนกะทันหัน ในขณะที่เขากำลังขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน เขาต่อสายถึงนาธาน
“เตรียมชุดไว้ให้ฉันด้วย... และข้อมูลของมิสธิดา ทรัพย์ไพศาลอุดม” เขาพูดแค่นั้นและวางหูไป
เขายิ้มมุมปากกับตัวเองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่โรงแรมเมื่อครู่ ... อยู่ดี ๆ ก็มีปลาตัวใหญ่มาให้ฉันตก... กระทรวงพานิชย์แห่งประเทศไทย ฮือ ๆ ....
