บทที่ 4 ไท่ว่างหวงทรงพระประชวรกำเริบ
“ไร้สาระสิ้นดี!” ไท่ว่างหวงทรงพิโรธขึ้นทันใด “เจ้ากล้าดียังไงกัน!”
ในขณะเดียวกัน เสิ่นชิวเยว่ก็พลันคุกเข่าลงด้วยความหวาดเกรง พลางเอ่ยขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนลำบากใจ “ไท่ว่างหวงโปรดระงับโทสะเพคะ นี่หาได้ใช่ความผิดของเสด็จพี่เจ็ดไม่ ทั้งนี้ต้องโทษท่านพี่หญิง นางอยู่กับบ่าวใช้ผู้นั้นที่หลังสวน?ก่อเรื่องผิดต่อเสด็จพี่เจ็ดขึ้นเพคะ”
มู่หรงเซียวเอ่ยต่ออย่างเย็นชา “ก่อเรื่องฝ่าฝืนข้อห้ามทั้งเจ็ด ก็ควรหย่าร้างพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ว่างหวงตกตะลึง แล้วมองไปที่เฟิ่งหมิงซี “เจ้ากระทำเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?”
เฟิ่งหมิงซียังมิทันได้เอ่ยอธิบาย
ไทเฮาก็พลันพิโรธขึ้น “เลี่ยหวางเฟยเจ้าหารู้ถูกผิดหรือไม่!”
เรื่องของคืนวานนางก็รับรู้แล้ว แต่เพราะเกียรติยศของราชวงศ์ นางจึงมิอยากเอ่ยถึง ทว่าเฟิ่งหมิงซีกลับวิ่งเข้ามายั่วโทสะ สีหน้าไทเฮาแฝงเต็มไปด้วยความโมหะ จึงรีบใช้ให้คนมาจับตัวเฟิ่งหมิงซีออกไปทันที
เสิ่นชิวเยว่แอบยิ้มกระหยิ่ม พลันรีบเสแสร้งคุกเข่าลง ทูลขอความกรุณาให้เฟิ่งหมิงซีด้วยไมตรีฉันพี่น้อง “ไทเฮาโปรดระงับโทสะเพคะ หม่อมฉันว่าท่านพี่หญิงนางคงหาได้ตั้งใจ คงหลงผิดไปเพียงชั่วขณะ อย่างไรเสียหลังสมรสเสด็จพี่เจ็ดก็จากไปตั้งสามปี?ท่านพี่หญิงคงยากทนความโดดเดี่ยวน่ะเพคะ”
ไทเฮาฟังจบก็ทรงพิโรธเสียจนเส้นโลหิตปูดโปน ดวงตาแฝงเต็มไปด้วยความดุดันน่ากลัว แล้วตรัสขึ้นอย่างพิโรธว่า “นางเดรัจฉาน! เกียรติยศของราชวงศ์ล้วนถูกเจ้าทำลายแปดเปื้อนจนหมดสิ้นเสียแล้ว บ่าวใช้! ลากนางออกไปโบยให้หนักเสีย!”
เฟิ่งหมิงซีชำเลืองมองเสิ่นชิวเยว่อย่างเย็นชา หญิงผู้นี้ช่างไม่ธรรมดา “เรื่องเมื่อคืนวานนั้น มีคนใส่ร้ายหม่อมฉันเพคะ”
“ครานั้น หม่อมฉันถูกวางยาด้วยกลิ่นธูปอ่อน มิอาจขยับตัวได้ ทั้งยังมีคนตีบ่าวใช้จนสลบแล้วโยนเข้ามาในห้องหม่อมฉัน จากนั้นเลี่ยอ๋องจึงได้พาคนปรากฏเข้ามา”
“กระหม่อมเฟิ่งหมิงซีอภิเษกเข้ามาในจวนอ๋องอย่างบริสุทธิ์ไร้มณทิล หาได้ทำเรื่องอันใดผิดต่อเลี่ยอ๋องไม่เพคะ”
นางเอ่ยพลางมองไปที่ไท่ว่างหวงและคนอื่นๆ “คนผู้นี้ชั่วช้าอำมหิตยิ่งนัก จุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้ หนึ่งคือต้องการเอาชีวิตหม่อมฉัน สองคือทำลายชื่อเสียงของจวนอ๋องเลี่ย ทำลายซึ่งเกียรติยศของราชวงศ์ป่นปี้ เห็นได้ชัดเลยว่าผู้บงการอยู่เบื้องหลังนั้นเลวทรามชั่วช้าเป็นอย่างมากเพคะ”
“หมิงซีแม้นตายไม่เสียดายชีพ แต่ชื่อเสียงจวนเลี่ยอ๋อง เกียรติยศของราชวงศ์นั้นมิอาจแปดเปื้อนเป็นอันขาด โปรดผู้อาวุโสในที่นี้สืบสาวหาความจริง ลากคนต่ำทรามที่บงการอยู่เบื้องหลังออกมาให้จงได้เพคะ”
คำพูดของนางทำคนประหลาดใจ ราวกับเกิดสายฟ้าคำรามอยู่ในท้องพระโรง ทุกคนต่างจับจ้องมาที่นางอย่างตกใจชะงักราวกับถูกสายฟ้าฟาด
เมื่อไร้ซึ่งจวนเฟิ่งอ๋องแล้ว ว่ากันว่าเฟิ่งหมิงซีก็เปลี่ยนไปเป็นดั่งราวนกระแวงคันธนู ไร้ซึ่งความยโสโอหังเยี่ยงกาลก่อน แต่งกับเลี่ยอ๋องก็หาใช่ปลายทางที่ดี เข้าจวนมาก็กลายเป็นนางสนมถูกทิ้ง รูปโฉมอัปลักษณ์ขึ้นเป็นอย่างมาก มิเคยได้อยู่เป็นสุข กลายเป็นเศษสวะ ใครๆ ล้วนรุมรังแกได้
สามปีมานี้ ยกเว้นไท่ว่างหวงผู้เอาแต่รักษาพระวรกาย ใครๆ ต่างก็พากันทราบเบื้องลึกเบื้องหลังของนางดี
โดนใส่ร้ายรังแกมาก็ไม่น้อย
แต่ทว่าถูกรังแกมาสามปีเต็มๆ แต่ก็ไม่เคยเอ่ยฟ้องเลยสักครา เหตุไฉนวันนี้จึงได้กล้าเอ่ยฟ้องขึ้นเสียเล่า?
เฟิ่งหมิงซีนึกกระหยิ่มในใจ ถูกวางยาใบ้แล้วจักเอ่ยฟ้องได้อย่างไร?
จุดมุ่งหมายในการวางยาใบ้ก็มิใช่เกรงว่านางจะเอ่ยฟ้องหรอกหรือ?
มู่หรงเซียวผู้มีสีหน้าดุดันเคร่งเครียดมาตั้งแต่แรก ก็กัดฟันเกรี้ยวโกรธแทบอยากลุกไปขยี้เฟิ่งหมิงซีให้ตายคามือ เขากำกำปั้นแน่น “เฟิ่งหมิงซีเจ้าหุบปากไปซะ!”
เฟิ่งหมิงซีพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในดวงใจ นั่นเป็นความรักที่เจ้าของร่างเดิมยังคงหลงเหลือเอาไว้
ชายผู้นี้หาได้เชื่อว่านางถูกคนใส่ร้ายป้ายสีงั้นหรือ?
ในขณะที่นางกำลังเจ็บปวดดวงใจอยู่นั้น ไท่ว่างหวงผู้อยู่บนตำแหน่งสูงส่งก็ได้ทรงยกมือขึ้น ตรัสด้วยน้ำเสียงทุ้มขึ้นว่า “นางหนูตระกูลเฟิ่งเอ่ยมาก็มีเหตุผล เรื่องนี้ดูมีเลศนัยยิ่งนัก จำต้องสืบสวนเป็นอย่างดี”
คำตรัสของไท่ว่างหวงนั้นล้ำค่ามีน้ำหนัก
แม้นว่าพระองค์จะทรงรามือจากเรื่องอำนาจราชวงศ์ไปนานแล้ว แต่ด้วยการมีอยู่ของพระองค์ก็ยากจะข้ามหน้าข้ามตาไปได้
องค์ฮ่องเต้ก็มิอาจขัดขืนได้
เฟิ่งหมิงซีเงยมองชายชราที่อยู่ตรงหน้าท้องพระโรง แววตาก็พลันประกายราวพบเจอกับความหวังขึ้น “ขอบพระคุณเสด็จปู่เพคะ”
ในที่สุดก็มีคนดีหลงเหลืออยู่ผู้หนึ่ง แต่ทว่าพระองค์ประชวรหนักเสียจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว
นางได้รับความเมตตาจากพระองค์
“ค่อกค่อก?”
ครั้นยามขณะเอ่ยตรัสไท่ว่างหวงก็สีหน้าไม่สู้ดี ไอเรื้อรังมิหยุดหย่อน ลมหายใจติดขัด
“ไท่ว่างหวงทรงพระประชวรกำเริบ รีบไปตามหมอหลวงมาเร็ว!”
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทั่วท้องพระโรงต่างวุ่นวายกันอย่างโกลาหล ฮ่องเต้เองก็ทรงตรัสร้องเรียกอย่างกระวนกระวายใจ
ทันใดนั้นเฟิ่งหมิงซีเห็นไท่ว่างหวงทรงล้มลง ก็พลันกระวนกระวายใจไม่ไหว จึงรีบลุกขึ้นเดินพุ่งเข้าไป
“เฟิ่งหมิงซีเจ้าคิดจักทำอันใดกัน?”
มู่หรงเซียวรีบคว้าเอาข้อมือนาง พลางโกรธเกรี้ยวเสียจะบดขยี้นางให้ตาย “เจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้นะ มิเช่นนั้น ข้าจักให้เจ้าได้เห็นดีแน่!”
“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้ ข้าจักไปช่วยไท่ว่างหวง!” เฟิ่งหมิงซีสะบัดเขาออกอย่างหงุดหงิดใจ แล้วรีบพุ่งตัวเข้าไปตรงหน้าของไท่ว่างหวง แล้วพลันหยิบเอาเข็มเงินออกมาอย่างคล่องแคล่วและมีสติปักลงไปตามจุดสำคัญต่างๆ บนวรกายของพระองค์
“เฟิ่งหมิงซีเจ้าช่างบังอาจนัก!”
การกระทำเช่นนี้ของนางทำทั้งไทเฮาและฮ่องเต้ต่างตกตะลึง พวกเขาตะโกนด่าไปที่นางว่าช่างกล้าดีบังอาจ กำเริบเสิบสานนัก!
เฟิ่งหมิงซีหนวกหูเสียจนรำคาญใจ “หุบปากให้หมด!”
น้ำเสียงของนางทั้งแข็งกร้าวทั้งเย็นชา บนร่างแผ่รัศมีอันน่าเกรงกลัวไปทั่วท้องพระโรง
ไทเฮาที่นั่งอยู่ข้างกายไท่ว่างหวง พลันสีหน้าซีดเผือดขึ้น แต่กลับมิกล้าเอื้อนเอ่ยอันใด
ทั่วพระโรงต่างก็เงียบชะงัก แล้วจ้องมองนางด้วยความเกรงกลัว ครั้นพอเห็นนางเพียงฝังเข็มให้ไท่ว่างหวง ฮ่องเต้ก็จึงยกมือขึ้นหยุดยั้งองครักษ์ตรงหน้า
“ประเดี๋ยว ให้นางรักษาไป ข้าใคร่อยากรู้นักนางมีฝีมืออันใดกัน”
เฟิ่งหมิงซีพลางรักษาไท่ว่างหวง พลางชำเลืองมององครักษ์นับสิบที่ล้อมตัวนาง พวกเขาแต่ละคนต่างพากันถือปืนห้อยพู่สีแดงคนละกระบอก หากว่าฮ่องเต้ไม่ออกคำสั่งยั้งมือ นางคงจะโดนยิงจนตัวพรุนเป็นรังแตนไปแล้ว
“สามปีมานี้เพื่อรักษาแผลแก้พิษ หม่อมฉันจึงได้ตั้งใจศึกษาตำราแพทย์อยู่หลังสวนจวนอ๋อง อาการประชวรของไท่ว่างหวงข้าสามารถรักษาได้ โปรดองค์ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันตรวจวินิจฉัยอาการ รักษาให้ไท่ว่างหวงด้วยเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้กับไทเฮาสีหน้าเคร่งขรึม มิอยากวางใจนาง
ฮ่องเต้เอ่ยอย่างเย็นชา “หากว่าไท่ว่างหวงเป็นอันใดไป ข้าจักไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่”
เฟิ่งหมิงซีเหงื่อผุดเปียกโชก แล้วจึงเริ่มจดจ่อรักษาให้ไท่ว่างหวง
ไท่ว่างหวงทรงอายุมากแล้ว จึงพระประชวรเป็นโรคความดันโลหิตสูงซึ่งพบได้ทั่วไปในเหล่าผู้สูงอายุ ทั้งยังมีภาวะหัวใจล้มเหลว
หัวใจล้มเหลวส่งผลให้พระองค์ทรงพระกรรสะออกมาเป็นโลหิต หายใจติดขัด
หากมิได้รับการดูแลรักษาอย่างดีตลอดมา เกรงว่าคงมิสามารถอยู่รอดมาจนถึงบัดนี้แน่
เฟิ่งหมิงซีไม่สามารถรักษาให้พระองค์อย่างเป็นทางการได้ในขณะนี้ ทำได้เพียงแต่ตรวจรักษาขั้นเบื้องต้นเท่านั้น จึงไม่สามารถจัดหาตัวยาอันใดมาใช้ได้
ใช้ได้เพียงแค่เข็มเงินตามตำราแพทย์แผนจีนมาลดทอนความเจ็บปวด ยับยั้งอาการให้คงที่
ขณะเดียวกันไทเฮาก็ทรงทอดพระเนตรดูวิธีการฝังเข็มของเฟิ่งหมิงซี แล้วพลันอุทานขึ้น “วิชาฝังเข็มเฉพาะจุด! นี่เป็นวิชาฝังเข็มเฉพาะจุดที่สูญหายไปเมื่อร้อยปีก่อนนี่! ”เหล่าผู้คนต่างพากันส่งเสียงกระซิบกระซาบขึ้น “เป็นไปไม่ได้! วิชาฝังเข็มเฉพาะจุดของหมออัจฉริยะในตำนาน ชุบชีวิตได้กระทั่งคนตายให้ฟื้นชีพกลับ แต่วิชานี้ได้สูญหายไปกว่าร้อยปีแล้ว เลี่ยหวางเฟยไยจึงเป็นวิชาแพทย์อันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ด้วย?”
เสิ่นชิวเยว่จ้องมองเฟิ่งหมิงซี ดวงตาฉายแววริษยา แล้วกระตุกแขนเสื้อมู่หรงเซียว “เสด็จพี่เจ็ดเจ้าคะ ใยนางจึงเป็นวิชาแพทย์ด้วย เฟิ่งหมิงซีนางเป็นไปไม่ได้ที่จักมีวิชาแพทย์เจ้าค่ะ”
สามปีมานี้นางส่งคนมาจับตาดูทุกวี่วัน ทั้งยังรังแกทำร้ายนางอยู่ตลอด เฟิ่งหมิงซีจะไปมีโอกาสเรียนวิชาแพทย์ได้ที่ไหนกัน? !
มู่หรงเซียวแววตาฉายเต็มไปด้วยความประหลาดใจ พลางจ้องมองไปที่เฟิ่งหมิงซีอย่างฉงนสงสัย หญิงผู้นี้มีเรื่องปิดบังเขาอยู่มากแค่ไหนกันนะ?
มู่หรงเซียวจ้องมองเฟิ่งหมิงซีตาไม่กะพริบ จึงไม่ได้ใส่ใจนาง เสิ่นชิวเยว่แอบไม่สบอารมณ์ไปเงียบๆ แต่ก็ไม่กล้าขัดจังหวะเขา ได้แต่อัดอั้นไว้ในใจ พลางจ้องมองไปที่เฟิ่งหมิงซีอย่างริษยา
“ค่อก.....”
หลังจากการฝังเข็มของเฟิ่งหมิงซี ไท่ว่างหวงก็เกิดสะอึกขึ้นหนึ่งที แล้วรู้สึกหายใจอย่างสะดวกราบรื่นขึ้นทันที พระองค์ลืมพระเนตรขึ้น แล้วตรัส“เจ้า....”
เฟิ่งหมิงซีเกาะกุมที่พระหัตถ์อันซูบผอม “เสด็จปู่ ท่านวางใจเถิดนะเพคะ หมิงซีจักต้องรักษาพระอาการประชวรของท่านให้หายดีอย่างแน่นอนเพคะ”
ไท่ว่างหวงดวงพระเนตรส่องประกาย พระองค์มิเคยรู้สึกสบายตัวเช่นนี้มาก่อน ลมหายใจสะดวกราบรื่น ทั่ววรกายล้วนรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน นี่มันไม่เคยเกิดเรื่องดีเช่นนี้ขึ้นมาก่อน
“ดี!ดี!”
พอได้ยินคำตรัสของไท่ว่างหวง เหล่าผู้คนต่างพากันตกตะลึง
จากนั้นเฟิ่งหมิงซีก็ช่วยประคองพระวรกายพระองค์ลุกขึ้น ก็ยิ่งทำคนอึ้งจนเบิกตาโตเข้าไปใหญ่
นึกไม่ถึง เฟิ่งหมิงซีจะมีสิทธิ์กระทำเช่นนี้ด้วย
เมื่อนับดูแล้ว นางได้ช่วยชีวิตไท่ว่างหวงไว้ถึงสองครา
มีไท่ว่างหวงคอยหนุนหลัง เลี่ยอ๋องยังจะกล้าขอหย่าภรรยาอีกหรือ?
