บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 เข้าวังหลวงขอหย่าสามี

เฟิ่งหมิงซีตกตะลึงจนเหงื่อผุด นี่มันเกินจริงไปแล้ว ไม่ค่อยสมจริงสักเท่าไหร่เลย

เพื่อพิสูจน์ความคิดของตน เฟิ่งหมิงซีจึงหลับตาลง แล้วภาวนาขึ้นในใจ :เข็มเงิน!

ทันใดกำไลห้วงเวลาบนข้อมือนั้นก็ปรากฏเข็มเงินหนึ่งชุดออกมาให้

เฟิ่งหมิงซีลืมตาขึ้น แล้วภาวนาอีกครั้งขอมีดผ่าตัด ยาลดรอยแผลเป็น

ของแต่ละสิ่งล้วนส่งออกมาจากกำไลห้วงเวลาให้นาง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของในห้องทดลองของนางทั้งสิ้น

เฟิ่งหมิงซีคว้าเอาไว้ ล้วนเป็นของจริงทั้งนั้น ยารักษาก็เป็นตัวยาของจริง

ยารักษาก็กำลังต้องการนำไปถอนพิษอยู่พอดี

เฟิ่งหมิงซีนึกตื่นเต้นขึ้นในใจ คิดว่ากำไลห้วงเวลานี้สามารถส่งสิ่งของต่างๆ มาให้ได้ งั้นนางรับรองเลยว่าทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ที่เก็บซ่อนไว้ในตู้ก็คงส่งมาได้เช่นเดียวกันสินะ?

บัดนี้นางกำลังขาดแคลนเงิน

ฉะนั้นนางจึงภาวนาขึ้นว่า: เงินทองของมีค่า

“……”

ภาวนากว่าสิบรอบก็หาได้ปรากฏของมีค่าใดๆ ออกมา

เฟิ่งหมิงซีผิดหวังหน่อยๆ ดูท่ากำไลห้วงเวลาวงนี้คงจะสามารถส่งมาให้ได้แค่ยารักษากับเครื่องมือหมอเท่านั้นกระมัง

ทว่านางได้มาแค่นี้ก็ดีมากแล้ว นางควรจะพอใจได้เสียที

เฟิ่งหมิงซีพยุงร่างกายอันอ่อนแรงลุกขึ้น แล้วเดินไปตรงกระจกแต่งหน้า หยิบเอายากับเครื่องมือรักษาออกมาจากกำไล ก่อนจะจัดวางไว้บนโต๊ะ

มีตัวยาเหล่านี้ ก็สามารถปรุงยาฟื้นฟูลมปราณขึ้นสักเม็ดไม่ยากแล้ว

ยาลดรอยแผลเป็นกับยาฟื้นฟูลมปราณต่างก็ได้ผลดีทั้งนั้น

หลังจากถอนพิษแล้ว ก็นอนกอดหมอน พลันรู้สึกง่วงงัวเงีย

แต่ในขณะเดียวกันนั้น ซวงสี่ก็พลันส่งเสียงร้องหวาดกลัวตกใจขึ้นมาจากด้านนอก “ท่านอ๋อง จวิ้นจู่นางได้พักผ่อนไปแล้วเจ้าค่ะ”

ซวงสี่หวาดกลัวมากจริงๆ ว่าเลี่ยอ๋องจะมาสังหารจวิ้นจู่ของนาง

มู่หรงเซียวน้ำเสียงเย็นชาเสียดกระดูก “ไสหัวไป! เรียกนางออกมาบัดเดี๋ยวนี้”

เฟิ่งหมิงซีรีบกระเด็นตัวขึ้นมาจากเตียง ลูบคลำดูแผลเป็นที่กำลังจางลงบนใบหน้า หยิบหน้ากากหนึ่งอันขึ้นมาใส่ ส่องกระจกดูแวบหนึ่ง แล้วกระตุกมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นเฉียบ เดินไปที่ประตูห้องแล้วเคาะที่แผงประตู

ซวงสี่พลันเข้าใจความหมาย แล้วจึงทูลเอ่ย “ท่านอ๋อง จวิ้นจู่บอกว่า นี่ดึกมากแล้ว ท่านอ่อนเพลียมากแล้ว ไม่สะดวกพบแขกเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินความนี้ มู่หรงเซียวจึงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “นางเป็นใบ้มิใช่หรือ?!”

ซวงสี่ร่ำไห้ขึ้นพลัน แล้วเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านอ๋อง สามปีที่แล้วจวิ้นจู่นางก็ถูกคนวางยาใบ้ ทำลายรูปโฉม ทั้งยังทำลายวรยุทธ์อีก”

มู่หรงเซียว:“.......”

เรื่องเหล่านี้เขาล้วนไม่เคยรับรู้มาก่อน

มิน่าล่ะเมื่อคราที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่แสดงออกว่าเจ็บปวดสาหัสถึงเพียงนั้นทว่านางกลับหาได้ส่งเสียงครวญครางเลยแม้แต่น้อย

เมื่อนึกถึงสภาพที่เฟิ่งหมิงซีคว้าแขนของเขาไว้ด้วยความหวาดกังวล

มู่หรงเซียวก็เผยร่องรอยความเย็นชาขึ้นที่ใต้ตา “นั่นเป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับแล้ว!”

เมื่อกาลก่อนใครใช้ให้นางหยิ่งยโสโอหังถึงเพียงนั้นเล่า ทั้งยังจิตใจชั่วร้ายอีก อาศัยฐานะจวิ้นจู่แห่งจวนเฟิ่งอ๋องของตนเที่ยวรังแกระรานผู้อ่อนแอไปทั่ว

ยังกล้าดียังไงมาแต่งกับเขาอีก!

จวนเฟิ่งอ๋องถูกเนรเทศเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อครั้นสูญเสียเกราะกำบังไป ภายหลังเหล่าคนที่เคยมีความแค้นกับนางก็ย่อมต้องแอบมาชำระแค้นนาง

เมื่อนึกถึงใบหน้าอันอัปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยกรีดบาดของนางนั้น มู่หรงเซียวก็พลันเผยความรู้สึกขยะแขยงขึ้นที่ใต้ตา ก่อนจะตะคอกขึ้นอย่างเย็นชา “เฟิ่งหมิงซีข้ามาตักเตือนเจ้าเอาไว้ วันพรุ่งเป็นวันเฉลิมฉลองวันประสูติของไท่ว่างหวง เจ้าไว้หน้าข้าด้วย ห้ามก้าวออกจากเรือนซิงเยว่แม้แต่ก้าวเดียวเป็นอันขาด”

เจ้าใคร่ห้ามข้าก็ห้ามได้ตามใจเลยงั้นรึ?

เฟิ่งหมิงซีดึงดันจะออกไป พอถึงครานั้นก็จะหย่าร้างกับชายใจโหดผู้นี้

ในห้องไร้ซุ่มเสียงใดๆ มู่หรงเซียวหมดความอดทน จึงก้าวเท้าเข้าไป พลันผลักประตูเปิดออก

ซวงสี่อยากจะหยุดรั้งเขาเอาไว้แต่ก็มิกล้า

เฟิ่งหมิงซีที่กำลังมองลอดผ่านช่องประตูดูอยู่ ครั้นเห็นชายหนุ่มกำลังก้าวมา ก็พลันถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวให้เขาเข้ามา

ยังมิทันได้ดูชัดๆ เลยว่าชายหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาเป็นอย่างไรกัน

เมื่อตอนข้ามมิติมานั้นสับสนวุ่นวายเกินไป จึงมิทันได้ดูรูปลักษณ์ของชายหนุ่ม

ครั้นมู่หรงเซียวเข้ามา

เฟิ่งหมิงซีเพียงเงยขึ้น

ก็เจอกับชายหนุ่มร่างสูงผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู เลือนรางเห็นชุดเกราะแข็งกร้าว แต่งกายด้วยชุดนุ่งห่มสีดำทั้งตัว สวมเครื่องหัวด้วยเครื่องหยกเครื่องทอง บนคอปกคลุมด้วยชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวเอาไว้ เสริมมาดให้เขาดูเคร่งขรึมสง่างามยิ่ง เยือกเย็นสูงศักดิ์ ทั่วทั้งกายาฉายเปล่งไปด้วยรัศมีแห่งราชันย์เย้ยหยันมองใต้หล้า

เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียด ผิวพรรณเขามีสีขาว คิ้วดุจยอดภูผาจากมุมไกล ปากบางเม้มเล็กน้อย ดวงตาเฉียบคมดั่งนกหงส์คู่หนึ่งกวาดไปมาอย่างไม่ตั้งใจ แลดูหยิ่งยโส

นึกไม่ถึงว่า มู่หรงเซียวผู้นี้ แท้จริงเป็นชายที่ช่างหล่อเหลาสง่างามทั้งยังเอาแต่ใจเช่นนี้

ปลายหางตาของชายหนุ่มแฝงความเยือกเย็นและเฉียบคม ความรู้สึกแปลกหน้าเช่นนั้น ดุจดั่งมีดเล่มคม เพ่งตรงมาที่นาง ราวกับจะทิ่มแทงทะลุตัวนางสักหลายรูใหญ่ๆ

เฟิ่งหมิงซีถูกสายตาเช่นนี้ของเขาข่มขู่อยู่ครู่หนึ่ง แววตาจึงพลันกลับมาเย็นชาขึ้นอีกครา แล้วพบว่าชายผู้นี้เป็นคนที่แฝงเต็มไปด้วยความอันตรายผู้หนึ่ง มองว่าเขาแข็งกร้าวอำมหิตก็มิใช่มิมีเหตุผล ว่ากันว่าเขาก้าวมาจากการเป็นองค์ชายผู้ไม่ได้รับความโปรดปรานผู้หนึ่งขึ้นสู่จุดสูงส่ง กลายเป็นท่านอ๋องแห่งเทพสงครามผู้แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเป่ยฉี

ครั้งหนึ่งเคยลงมือสังหารน้องชายแท้ๆ ของตนกับมือ

ขณะนี้ มู่หรงเซียวจ้องมองที่หน้ากากของนาง “คำสั่งของข้า ทางที่ดีเจ้าจงปฏิบัติตามเสีย มิเช่นนั้น ผลที่ตามมาเจ้ารับไม่ไหวแน่”

เฟิ่งหมิงซีทนฟังน้ำเสียงข่มขู่ของชายหนุ่มไม่ได้ จึงหันมาเหลือบมองทีหนึ่ง “หืม!”

มู่หรงเซียวคร้านใจจะชายตามองนาง พอกล่าวคำตักเตือนเสร็จ ก็รีบพาเหล่าองครักษ์ลับของเขาจากเรือนซิงเยว่ไปโดยไม่ไยดี

ครั้นจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ห่างจากไปไกลแล้ว เฟิ่งหมิงซีจึงตะคอกเย็นชาขึ้น “มิเพียงแต่มีหน้าตาเจ้าเล่ห์เสแสร้ง มิหนำซ้ำยังเป็นไอ้ชายสวะผู้หนึ่งอีกด้วย”

ซวงสี่ก้าวเข้า มองไปที่นางอย่างไม่กล้าจะเชื่อสายตา “จวิ้นจู่ ท่าน?ท่านพูดได้แล้วหรือเจ้าคะ?!”

“อืม เมื่อตะกี้ข้าหายาอายุวัฒนะเจอในกล่องที่โต๊ะเครื่องแป้งน่ะ พอกินมันเข้าไปข้าก็หายเป็นใบ้แล้ว” เฟิ่งหมิงซีแต่งเรื่องโกหก แล้วหยิบเอากล่องนั่นขึ้นมาให้นางดู ข้างในเต็มไปด้วยขวดยานานา ล้วนเป็นยาแผ่นที่เจ้าของร่างเดิมจ่ายเงินซื้อไว้รักษาบาดแผลบนใบหน้า “ข้าแปะยาแผ่นพวกนี้ไปแล้ว ประเดี๋ยวบาดแผลบนใบหน้าก็คงจะหายดี”

ซวงสี่พลันรู้สึกดีอกดีใจ ดีใจเสียจนร่ำไห้ขึ้น “ช่างดียิ่งนักเจ้าค่ะ ดูท่ายาเหล่านี้คงจักมิได้ซื้อเสียเงินเปล่าแล้ว”

ผู้เป็นบิดาของเจ้าของร่างเดิมรักถนอมนางยิ่งนัก จึงได้ยกสินสอดทองหมั้นให้แก่นาง แต่ทรัพย์สินเหล่านี้ก็ถูกนางใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยเสียแล้ว เพื่อรักษาใบหน้าและถอนพิษ นางหลงเชื่อหมอพื้นบ้านเหล่านั้น จนบัดนี้กลายเป็นเพียงคนอนาถาคนหนึ่งไป

แต่ทว่าเช่นนี้กลับกลายเป็นข้ออ้างอันสมจริงให้กับนาง

ซวงสี่ปาดน้ำตาบนใบหน้า “จวิ้นจู่ บัดนี้ท่านพูดได้แล้ว ไยจึงไม่ใช้โอกาสนี้อธิบายกับท่านอ๋องดีๆ ล่ะเจ้าคะ”

เฟิ่งหมิงซีเอ่ยตะคอกอย่างเย็นชา “ชายผู้นั้นโหดเหี้ยมไร้ปรานี ทั้งยังขยะแขยงเกลียดชังข้า เขาจักมาเชื่อข้าพูดได้อย่างไร?”

ซวงสี่ถอดถอนหายใจ“ท่านเอ่ยมาก็ใช่ ถูกท่านอ๋องจับได้เสียคาหนังคาเขา จวิ้นจู่ก็ไร้ซึ่งข้อแก้ตัวใดๆ ไม่เจ้าค่ะ”

สิ่งที่คนอยู่เบื้องหลังต้องการนั้นก็คือให้มู่หรงเซียวจับนางได้ต่อหน้า แล้วเกรี้ยวโกรธจนฟันนางให้ตายด้วยดาบเดียว

เฟิ่งหมิงซีกระตุกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “ไปหาหลับหานอนเถิด วันพรุ่งตื่นเช้าหน่อย เราจะเข้าวังหลวงกัน”

ซวงสี่เบิกตากว้าง เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เข้าวังหลวง ท่านอ๋องสั่งไว้แล้ว ห้ามท่านก้าวออกไปจากเรือนซิงเยว่เป็นอันขาด เราจะเข้าวังหลวงได้อย่างไรกันเจ้าคะ อีกอย่าง เราจะเข้าวังหลวงไปทำไมกันเจ้าคะ? เรื่องเมื่อตอนเย็นก็วุ่นวายเสียใหญ่โต ท่านไม่ควรออกไปปรากฏตัวเลยนะเจ้าคะ”

เฟิ่งหมิงซีพอนึกถึงมู่หรงเซียวผู้แข็งกร้าวไร้เมตตา ก็เอ่ยหัวเราะอย่างเย็นชาขึ้น “เข้าวังขอหย่าสามี”

“หา! จวิ้นจู่ท่านรักใคร่ท่านอ๋องยิ่งนักไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ไยจึงจักไปขอหย่าเสียแล้วล่ะ!” ซวงสี่จ้องมองไปที่จวิ้นจู่ของตน ก็พบว่าผู้เป็นเจ้านายเปลี่ยนแปลงไปมาก เคยมีสตรีขอหย่าสามีเสียที่ไหนกันเล่า จวิ้นจู่คงมิใช่โดนของเข้าแล้วหรือกระมัง

“นั่นมันเป็นเพียงเมื่อก่อน บัดนี้ข้าคิดได้แล้ว ข้าจะไม่เฝ้ารอชายที่ไม่ได้รักตนอีกต่อไป” เฟิ่งหมิงซีเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “บัดนี้ข้ามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นต้องไปทำ ข้าจะช่วยท่านพ่อข้ากลับคืนมา”

ซวงสี่พลันประหลาดใจขึ้นมาอีกรอบ “จวิ้นจู่ท่านคิดได้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เมื่อก่อนท่านทำเรื่องโง่เขลาลงไปมากมาย ข้านึกสงสารท่านนัก อีกทั้งเหล่าพวกของท่านอ๋อง พวกเขาล้วนถูกใส่ร้าย เราจักต้องรีบช่วยพวกเขากลับมาให้จงได้นะเจ้าคะ หากว่าท่านอ๋องได้กลับมาแล้ว ก็จักมิมีผู้ใดกล้ารังแกพวกเราอีกแล้วเข้าค่ะ ฮือฮือ......”

รู้หรือไม่ นางเฝ้ารอคำนี้มานาน เฝ้ารอมาสามปีแล้ว

“เจ้าวางใจเถิด ข้าจวิ้นจู่ผู้นี้จักฟื้นชีพเกิดใหม่ จักไม่ยอมให้ใครมารังแกข่มเหง และจักช่วยตระกูลข้ากลับคืนมาให้จงได้”

จวิ้นจู่ในที่สุดก็เอ่ยให้กำลังใจขึ้น ซวงสี่ซาบซึ้งจนน้ำตาเอ่อคลอ

วันต่อมา เฟิ่งหมิงซีกำลังนอนหลับเต็มอิ่ม แต่กลับถูกซวงสี่ปลุกตื่นขึ้น ปรนนิบัติแต่งตัวให้ นางหนูน้อยครั้นได้ยินว่านางจะฟื้นฟูทวงคืนเพื่อจวนเฟิ่งอ๋อง ก็ตื่นเต้นใจเสียจนนอนไม่หลับทั้งคืน สนับสนุนอย่างมากเพื่อให้นางเข้าวังหลวง

เฟิ่งหมิงซีพยุงตัวตื่นขึ้นอย่างเฉื่อยชา หัวคิ้วขมวดกัน “ซวงสี่นี่มันเพิ่งยามใดกัน เข้าวังหลวงก็ไม่จำเป็นต้องเช้าขนาดนี้หรอกกระมัง!”

“จวิ้นจู่ บัดนี้งานเฉลิมฉลองใครจักเริ่มแล้วนะเจ้าคะ ท่านอ๋องก็เตรียมเข้าวังหลวงแล้ว หากเราขืนยังไม่ไปอีกก็จักสายเกินแล้วนะเจ้าคะ” ซวงสี่เดินเข้ามาพร้อมกับชุดหนึ่งชุด รีบเร่งจะให้นางสวมใส่

“บ่าวเห็นรถม้าของจวนเสิ่น คุณหนูเสิ่นมาถึงจวนท่านอ๋องตั้งแต่เช้าตรู่ จะเข้าวังหลวงไปพร้อมกับท่านอ๋อง บ่าวแอบได้ยินมาว่า ท่านอ๋องวางแผนจะใช้ความดีความชอบจากการทหารทูลประทานสมรสคุณหนูเสิ่นขึ้นเป็นเซ่อเฟยด้วยนะเจ้าคะ”

มิน่าล่ะ เมื่อคืนวานมู่หรงเซียวถึงได้กำชับเตือนนางนักหนาว่าห้ามออกจากเรือนซิงเยว่

ที่แท้ชายต่ำหญิงทรามคู่นี้คิดจักถือโอกาสตอนนางไม่อยู่ประทานสมรส

ช่างฝันหวานเสียจริงๆ

“ซวงสี่ พวกเราก็รีบไปกันเถิด”

มู่หรงเซียวปฏิบัติถึงเพียงนี้กับนางได้เพื่อเสิ่นชิวเยว่

แม้นว่านางจะไม่ต้องการชายผู้นี้ แต่ก็จักไม่ยอมให้เสิ่นชิวเยว่ได้ไปครอบครองเด็ดขาด ยิ่งนางใคร่อยากแต่งกับมู่หรงเซียวมากเท่าไหร่ นางก็จักยิ่งไม่ให้พวกเขาได้สมหวังกันมากเท่านั้น

ซวงสี่รีบดึงนางกลับทันใด “บัดนี้ที่หน้าประตูเรือนซิงเยว่มีคนคอยเฝ้าอยู่ พวกเรามิสามารถออกไปได้นะเจ้าคะ”

ได้แต่รอดโพรงสุนัขออกไป

เฟิ่งหมิงซีเหลือบมองโพรงสุนัขอันรกร้างหลังสวน แล้วจึงกระตุกมุมปากขึ้น “ซวงสี่ เจ้าจักให้ข้าผู้เป็นจวิ้นจู่รอดโพรงสุนัขออกไปงั้นหรือ?!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel