ร่างนี้เป็นใบ้? 1
ไป๋ซือเหยาตื่นขึ้นมาอย่างมึนเบลอ ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามา ความรู้สึกแรกเธออยากจะกรีดร้องตะโกนด่าชายชราที่ไม่ยอมบอกความจริงทั้งหมดให้กับเธอ
ร่างนี้เป็นใบ้และยังมีสามีแล้วอีกด้วย! สาวโสดวัยยี่สิบแปดปีอย่างเธอถึงกลับพูดไม่ออก เพราะร่างนี้อายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น และที่ทำให้เธอมาอยู่ในร่างนี้ เพราะเธอป่วยหนักจนตาย!
กว่าสามีนั่นจะมาเห็นเธอก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว ทำให้เด็กหนุ่มนั่นไม่รู้ว่าภรรยาตนเองตายจากไปแล้ว
หากเป็นยุคปัจจุบัน อายุสิบเจ็ดปีกลับเป็นวัยที่กำลังเรียนหนังสืออย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาลัยดี ๆ แต่ในยุคนี้กลับมีสามีและลูกแล้ว โชคดีที่ร่างนี้ยังไม่มีลูก มิเช่นนั้นเธอคงตกใจจนหัวใจวายและตายซ้ำอีกครั้งเป็นแน่
เธอถอนหายใจอย่างปลงตก เพราะอย่างไรก็ไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว ต่อไปนี้คงต้องยอมรับตัวตนนี้ให้ได้ และใช้ชีวิตในฐานะไป๋ซือเหยาสะใภ้ใบ้คนนี้ให้ได้
“เหยา ๆ หิว ๆ”
ไป๋ซือเหยาสะดุ้งตกใจ เมื่อร่างสูงวิ่งพรวดเข้ามาหาพร้อมจับมือนางเขย่าไปมา แม้จะพึ่งตกลงปลงใจกับตัวเองแต่ก็อดที่จะตกใจไม่ได้ เมื่อมองหน้าคนที่เขย่ามือตัวเองก็ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“โม่เหยียน?”
ไป๋ซือเหยาพึมพำเรียกชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ ทว่ามีเพียงแค่ปากที่ขยับตามแต่ไม่มีเสียงออกมา ความทรงจำบอกว่าสามีของร่างนี้หน้าตาอัปลักษณ์มีปานสีดำกว่าครึ่งหน้า
และช้ำร้ายเกิดอุบัติเหตุตอนอายุสิบขวบ ทำให้ความทรงจำหายไปกลายเป็นคนปัญญาอ่อนคนหนึ่งเท่านั้น
ความจริงหลิวโม่เหยียนเป็นคุณชายรองของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง แต่เพราะสติปัญญาเหมือนเด็กคนหนึ่ง เมื่ออายุถึงวัยแต่งงานก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับร่างนี้
ซึ่งตระกูลไป๋ไม่ต้องการนางเช่นกัน จากนั้นก็ส่งมาใช้ชีวิตในชนบทหมู่บ้านหลิวซานแห่งนี้ ซึ่งที่นี่เป็นหมู่บ้านเก่าของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ที่ไป๋ซือเหยาเรียกอย่างไม่แน่ใจเพราะนางมองเห็นชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียน ดวงตาดอกท้อทอประกายสดใสยามที่เจ้าตัวฉีกยิ้ม หรือนี่คือผลของตาทิพย์?
“เหยา ๆ”
เสียงเรียกออดอ้อนนั้นทำให้สติไป๋ซือเหยากลับคืนมา นางพยายามมองรูปลักษณ์กายหยาบของคนตรงหน้าจึงได้เห็นว่าแท้จริงแล้วก็เป็นภาพเหมือนในความทรงจำ
‘เดี๋ยวข้าไปหาอะไรให้เจ้ากิน’
ไป๋ซือเหยาพูดบอกอย่างลืมตัวว่าร่างนี้เป็นใบ้ ทว่าต้องแปลกใจเมื่ออีกคนกลับเข้าใจนางต้องการจะสื่อ ใครว่าหลิวโม่เหยียนนั้นปัญญาอ่อน แค่นางพูดโดยไม่มีเสียงอีกคนยังเข้าใจเลย นางเลิกคิดเรื่องนี้ก่อนจะรีบลุกเข้าไปในห้องครัวในความทรงจำ ชีวิตของทั้งคู่ ค่อนข้างลำบากเพราะถูกส่งมาที่ทุรกันดารเช่นนี้ โดยได้เงินมาเพียงเล็กน้อย และใช้จ่ายช่วงมาอยู่แรก ๆ ก็หมดแล้ว อีกอย่างหลิวโม่เหยียนเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีมากกว่าร่างนี้หนึ่งปี ซึ่งกำลังเติบโตจึงรับประทานอาหารเป็นจำนวนมาก รายได้หลักก็มาจากร่างเดิมที่ปักผ้าไปขายในเมือง
โชคดีที่ร่างนี้เป็นคนดี ไม่ได้คิดทิ้งสามีปัญญาอ่อนของตนเอง อาจเพราะร่างนี้ก็ผ่านความยากลำบากมาเช่นกัน จึงทำให้รู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน
ไป๋ซือเหยามองข้าวในหม้อแล้วได้แต่ส่ายหน้า วันนี้นางจึงทำโจ๊กมันบดผสมกับข้าวที่เหลือเพียงน้อยนิด โชคดีที่ร่างนี้ชำนาญทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยไปด้วย และทำตามได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเคยทำเองมานับร้อยนับพันครั้ง
เพียงไม่นานอาหารง่าย ๆ ก็เสร็จเรียบร้อย นางตักชามใหญ่ให้หลิวโม่เหยียนและตักชามเล็กให้ตนเอง พร้อมยกไปนั่งรับประทานที่โต๊ะเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่กลางบ้าน
ภายในบ้านนี้มีเพียงแค่หนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องโถงเท่านั้น บ้านหลังเล็กและทรุดโทรมเพราะถูกทิ้งร้างอยู่หลายปี
“เหยา ๆ กิน”
โม่เหยียนตักโจ๊กในถ้วยตนเองป้อนภรรยาอย่างเอาอกเอาใจ ดวงตาโค้งมนยิ้มอย่างมีความสุข แม้สติปัญญาจะไม่สมประกอบ แต่กลับรู้ว่าตนมีภรรยาที่แสนงดงาม ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมองภรรยาอย่างหลงใหล พร้อมคาดหวังจะกลืนโจ๊กที่ตนป้อนให้
