
บทย่อ
มารักกับพี่ น้องจะได้กินกล้วยฟรีตลอดชีวิต ! เมื่อ มธุรดา หรือ น้ำผึ้ง สาวชาวกรุงผู้คลั่งไคล้ ‘กล้วย’ และทุกอย่างที่ทำจากกล้วยเป็นชีวิตจิตใจ ต้องมาสะดุดรักอย่างจังกับเจ้าของสวนกล้วยหนุ่มเนื้อหอมประจำหมู่บ้าน ที่สาวๆ ต่างก็หมายปองอยากครอบครอง ‘กล้วยหอมทอง’ อันเลอค่าของเขา หิรัณย์ หรือพี่ทอง หนุ่มเจ้าของสวนกล้วยหอมทอง ผู้มีไลฟ์สไตล์ติดดิน ไม่อินกับโซเชียล แต่เฟี้ยวฟ้าวกร้าวใจสุดๆ ผู้มากับสโลแกนเด็ดชวนใจสั่น ‘มารักกับพี่ น้องจะได้กินกล้วยฟรีตลอดชีวิต!’ คนหนึ่งชอบกินกล้วย อีกคนก็มีกล้วยให้กินไม่อั้น มันก็น่าจะแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ทว่า... ดันมีอุปสรรคที่ทำให้เธอและเขาต้องสะดุดกันจนหัวทิ่ม เมื่อพ่อเขาและแม่เธอ ดันเป็นกิ๊กเก่าที่จบแบบไม่สวยนี่สิ ตำนานรักขวัญเรียมที่ว่าเศร้า หรือโรมิโอแอนด์จูเลียตที่เคล้าน้ำตา หรือจะปวดเฮดเท่า ตำนานรักเจ้าของสวนกล้วยหอมทองกับหวานใจสาวกกล้วยหอมจอมซน เขาและเธอจะฝ่าฟันจนได้ครองคู่กันได้ไหม ความรักฉบับกล้วยๆ ที่ไม่กล้วยครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร แล้วเธอจะได้กินกล้วยเขา เอ๊ย! กล้วยในไร่เขาฟรีตลอดชีวิตหรือไม่ มาเอาใจช่วยกันใน... สะดุดรักไอ้หนุ่มบ้านไร่ จ้า
ตอนที่ 1. แรกพบสบตา/1
รถไฟแล่นมาจอดที่ชานชาลาสถานีลพบุรีในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ วันหยุดแบบนี้มีนักท่องเที่ยวอาศัยรถไฟมาแวะยังเมืองที่มีสัญลักษณ์เป็นลิงจ๋อแห่งนี้มากมาย หญิงสาวร่างเล็กสูงเพียงร้อยหกสิบเซ็นติเมตรสวมกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีขาว มีแจ็กเกตยีนส์ทับอีกชั้น ศีรษะสวมหมวกแก๊ปสีขาวด้านหลังสะพายเป้สีน้ำตาลมีตุ๊กตาลิงถือกล้วยห้อยตุ้งติ้ง ก็พาตัวเองเดินลงมาจากรถไฟด้วยท่าทางทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว ไม่อ้อยสร้อยรอให้ใครมาช่วยแบบที่สาวมีจริตทั่วไปนิยมทำ
ลงจากรถไฟได้ ก็เดินหลีกฝูงชนมายังรูปปั้นเจ้าลิงจ๋อที่ตั้งโดดเด่นอยู่ที่ชานชาลาสถานีลพบุรีแห่งนี้ หยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนยี่ห้อดังมากดถ่ายรูปเซลฟี่อย่างเมามัน พร้อมกับส่งรูปอัพโหลดขึ้นโพสน์ในเฟซบุ๊คและอินสตาร์แกรม ตามสมัยนิยมที่ต้องถ่ายโพสน์อวดในโซเชียลให้โลกรู้ว่า ตอนนี้ตรูข้าอยู่ที่ไหน กินอะไร หากจะให้เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร ก็ต้องปรับสีรูปให้ซีดจางสักนิดก่อนอัพโหลดลงโซเชียล แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นพวก ‘Hipster’ (ฮิปสเตอร์)
หญิงสาวถ่ายรูปจนพอใจก็มานั่งรอคนมารับที่เก้าอี้ ด้านหน้าช่องขายตั๋ว เธอเดินทางมาจากรุงเทพด้วยรถไฟแทนการใช้รถโดยสาร เพราะอยากได้บรรยากาศการเดินทางแตกต่างจากทุกครั้ง หากบิดามารดารู้เข้าย่อมไม่มีทางยอมให้ลูกสาวสุดที่รักเดินทางผจญภัยแบบนี้แน่ โชคดีมาทันรถไฟฟรีเลยไม่เสียตังสักบาท แต่โชคร้ายมีคนขึ้นแน่นเต็มตู้รถไฟ ต้องยืนอยู่นานกว่าจะมีคนใจดีสละที่นั่งให้ ระหว่างรอให้ถึงสถานีปลายทางก็ถ่ายรูปบ้าง สังเกตผู้คนร่วมขบวนบ้าง มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นแปลกหูแปลกตา กับวิถีชีวิตคนอาศัยรถไฟในการเดินทาง นับตั้งแต่ผู้คนหลากหลายอาชีพ นักท่องเที่ยว ไปจนถึงแม่ค้าที่นำอาหารเครื่องดื่มมาเร่ขายในขบวนรถไฟ ต่างพากันหิ้วตะกร้าบรรจุพวกขนม เครื่องดื่ม เดินไปตามตู้รถไฟ ย้อนไปมา เธอนั่งใกล้แม่ค้าที่มาขายของ ได้สังเกตได้ยินการพูดคุยกัน ถึงจะพูดจาด้วยสำเนียงบ้านๆ ไม่มีหางเสียง แม้จะมึงมาพาโวยบ้าง แต่ก็ฟังเพลินไม่น้อย แถมยังได้อุดหนุนขนมเป็นการช่วยกระจายรายได้สู่พ่อค้าแม่ขายรายย่อย
“รอตั้งนานแล้ว ไม่เห็นใครมารับสักที ไหนยายบัวบอกว่าจะมีคนมารับเราที่สถานี”
ปากบ่นมือก็ล้วงกล้วยฉาบในถุงก็อบแก็บมาแกะกินระหว่างรอ ขนมที่อุตส่าห์อุดหนุนแม่ค้าในขบวนรถไฟนั่นแหละ เธอชอบกินกล้วยทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหักมุก ขึ้นชื่อว่ากล้วยจะแปรรูปเป็นขนมหรือจะเป็นผล ทั้งสุกทั้งดิบก็ชอบกินไปเสียหมด คนในครอบครัวตั้งฉายาให้ว่า ‘แม่นางกล้วยเกลี้ยง’ กล้วยชนิดไหนก็กินจนเกลี้ยงได้ทุกกล้วย
“ไปเที่ยวบ้านยายบัวคลี่หนนี้ ก็ไปนอนกินกล้วยให้เกลี้ยงสวนเสียล่ะ ชอบไม่ใช่เหรอกล้วยน่ะ”
แม่ของเธอจัดการโทรหาน้าสาว ฝากฝังลูกสาวให้มาพักผ่อนที่บ้านสวนของยายบัวคลี่ที่จังหวัดลพบุรีแห่งนี้ เธอจำได้ลางๆ ว่าสมัยเด็กแม่เคยพามาเยี่ยมยายอยู่สองสามครั้ง หลังบ้านของยายปลูกกล้วยไว้เป็นดง ยายทำขนมจากกล้วยให้กินจนพุงกาง ขากลับก็ตัดกล้วยให้อีกหลายเครือ
ชีวิตของเธอตั้งแต่จำความได้ก็มีกล้วยอยู่ในความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตุ๊กตากล้วยหอมจอมซน กอดจนเป็นตุ๊กตาเน่าก็ไม่ยอมทิ้ง ไปดูหนังครั้งแรกคือเรื่อง ก้านกล้วย อะไรที่มีกล้วยเธอจะชอบมันทุกสิ่ง ขนาดชุดชั้นในยังเป็นลายกล้วย
“ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว เมื่อไหร่จะมีคนมารับสักที”
รอมาร่วมชั่วโมง กินกล้วยฉาบจนหมดถุงก็ไร้วี่แววว่าจะมีใครมารับ จะไปเองก็ไปไม่ถูก ถึงมีที่อยู่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่จะไปก็ยังหวาดๆ เพราะต่างถิ่น จำต้องนั่งรอท้องร้องโครกครากหิวข้าวจนปวดท้อง ข้าวเช้าไม่ได้กินมาสักคำด้วยกลัวจะขึ้นรถไฟไม่ทัน กล้วยฉาบถุงน้อยจึงไม่พอยาไส้ ครั้นจะไปนั่งกินอะไรที่ร้านอาหารแถวนี้ก็กลัวว่าคนมารับจะหาไม่เจอ จึงนั่งรอที่เก้าอี้หน้าช่องขายตั๋วซึ่งมองเห็นง่าย
“น้าทิพย์ หนูรอคนมารับตั้งนานแล้ว ไม่มีใครมารับสักที หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว ยายให้ใครมารับทำไมไม่มาสักที”
อดรนทนรอไม่ไหว ท้องไส้ประท้วงดังโครกคราก หญิงสาวเลยกดโทรศัพท์โทรหาน้าปทุมทิพย์น้องสาวของแม่ ซึ่งน่าจะโทรหาตั้งนานแล้วแต่มัวถ่ายรูปเพลินกับเล่นโซเซียลบวกกับกินกล้วยฉาบไปด้วย กว่าจะรู้ตัวก็รอนานจนหิว
“อ้าว ยังไม่เจอกันเหรอ แม่ๆ แม่ให้ใครไปรับหนูผึ้งนะ”
น้าสาวตะโกนถามยาย เสียงคุ้นหูของยายบัวคลี่ดังแว่วมาตามสายว่า
“ฉันให้ตาทองไปรับนังหนู เขารับปากแล้วว่าจะไปรับให้ วันนี้ไปส่งกล้วยในเมืองพอดี”
“เดี๋ยวฉันจะโทรถามเขาอีกที”
น้าปทุมทิพย์ถามยายบัวคลี่แล้วก็หันมาคุยกับหลานสาวต่อ
“หนูผึ้ง ยายบัวฝากตาทองไปรับหนู เดี๋ยวน้าโทรถามให้อีกทีนะ หนูใส่ชุดอะไรน้าจะได้บอกเขาถูก”
“หนูใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงกับแจ็คเกตยีนส์ค่ะ สวมหมวกแก็ปสีขาวค่ะ นั่งรอที่เก้าอี้หน้าช่องขายตั๋ว น้าทิพย์ให้เบอร์หนูกับเขาไปด้วย จะได้โทรถามกัน”
น้ำผึ้งบอกรายละเอียดเสื้อผ้ารวมถึงสถานที่ ที่เธอนั่งรอให้น้าสาวทราบ
“รออยู่ตรงนั้นนะ อย่าไปไหน เดี๋ยวตาทองจะไปรับ”
“ค่ะ น้าทิพย์”
น้ำผึ้งกดวางสายถอนหายใจเฮือกๆ สรุปคือต้องนั่งรอที่เดิมจนกว่าคนจะมารับ แล้วคนชื่อตาทองนี่จะมารับเมื่อไหร่หนอ หญิงสาวมองไปรอบๆ กาย มองหาคนที่น่าจะชื่อตาทอง คิดเอาเองว่าคงเป็นชายแก่เพื่อนของยายบัวคลี่
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด !!!
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น หลังจากผ่านไปราวยี่สิบนาที น้ำผึ้งรีบกดรับทันทีเบอร์แปลกๆ แบบนี้น่าจะเป็นตาทองแน่ๆ
“สวัสดีค่ะ”
“หนูผึ้งใช่ไหม ผมชื่อทอง ยายบัวคลี่ให้มารับหนู ตอนนี้อยู่ตรงไหน”
เสียงปลายสายฟังดูไม่สั่นเครือแบบคนแก่ทั่วไป ออกจะทุ้มนิดๆ เหมือนเสียงดีเจคลื่นลูกทุ่ง แต่จะเสียงแก่เสียงเพราะก็สร้างความดีใจให้คนรับสายที่มีคนมารับสักที
“ค่ะ ผึ้งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าช่องขายตั๋วค่ะ มองเห็นหรือยังคะ ผึ้งลุกขึ้นยืนแล้ว”
ร่างเล็กลุกขึ้นยืน มองหาคนที่โทรมา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีใครมาสะกิดไหล่จากด้านหลัง พอหันไปก็เจอชายหนุ่มร่างสูงราวร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร ผิวดำแดง หน้าคมจมูกโด่งเป็นสันรับกับวงคิ้วหนาเป็นปื้นดำสนิท รูปลักษณ์แบบชายไทยแท้ไม่มีชาติอื่นเจือปน
“หนูผึ้งใช่ไหม พี่ชื่อพี่ทองนะ”
เขาเรียกแทนตัวเองว่าพี่อย่างถือสนิท ราวกับรู้จักกันมาแสนนาน ทั้งที่จริงเพิ่งคุยกันได้ไม่ถึงนาที
“พี่ทอง เอ่อ... คุณชื่อทองเหรอคะ”
น้ำผึ้งเผลอเรียกเขาว่าพี่ ก่อนจะเปลี่ยนสรรพนามเรียกว่าคุณ ใช้สายตามองสำรวจคนตัวโตที่ต้องแหงนหน้ามองจนเมื่อยคอ คนอะไรผิวเข้มอย่างกับสีทองแดง หน้าไท้ ไทย ไม่ขาวใสแบบหนุ่มบอยแบรนด์เกาหลีที่เธอชื่นชอบสักนิด เทียบกับพี่แมคอดีตหนุ่มคนรักแล้วต่างกันมาก หญิงสาวปั้นยิ้มให้คนตรงหน้า ไหนๆ ก็อุตส่าห์มารับ ก็ควรผูกไมตรีไว้
“เรียกพี่ทองสิ เราอายุน้อยกว่าพี่ จะมาเรียกคุณทำไม เป็นเด็กเป็นเล็กหัดรู้จักสัมมาคารวะบ้าง”
พี่ทองย่นคิ้วหนาๆ ทำตาดุ เสียงดุใส่คนเด็กกว่า ทำเอาน้ำผึ้งแทบหุบยิ้ม เกิดมาไม่เคยมีใครมาดุมาว่า ตานี่เจอกันไม่กี่นาทีมาขึ้นเสียงอบรม ทำราวกับตัวเองน่าเคารพ ต่อมหมั่นไส้ทำงานทันที จากที่คิดจะผูกไมตรีตอนนี้เริ่มเกลียดขี้หน้าหน่อยๆ แล้ว
“อายุเท่าไหร่แล้วคะ”
น้ำผึ้งจ้องหน้าคนหล่อแบบบ้านๆ เอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาคมดำสนิทเหมือนสีถ่านสบตากลับไม่ยอมหลบ
“ยี่สิบเจ็ด”
“ยี่สิบเจ็ด ฉันยี่สิบสอง อ่อนกว่าห้าปี โอเคเรียกพี่ก็ได้”
น้ำผึ้งพยักหน้าหงึกๆ ยอมเรียกพี่ตามความต้องการของคนสูงวัยกว่า แต่ไม่วายแอบนินทาในใจ คนอะไรหน้าแก่เกินอายุ นึกว่ารุ่นน้า
“ตามพี่มา รถจอดอยู่หน้าสถานี”
คนหน้าแก่คว้ากระเป๋าเป้เดินนำ ปล่อยให้คนตัวเล็กวิ่งต๊อกแต๊กตามหลัง ขาที่ยาวกว่าทำให้ต้องซอยเท้าจ้ำตามจนขาแทบขวิด กว่าจะเดินมาถึงรถที่จอดอยู่ก็เล่นเอาหอบ พอเห็นรถที่ตัวเองต้องโดยสารกลับน้ำผึ้งถึงกับตะลึงงัน
