ตอนที่ 6.2 หัวใจโหยหา
รุ่งเช้า
เสียงดังกุกกักภายในห้องปลุกให้คนป่วยลืมตาขึ้นมามอง ก่อนจะพบพยาบาลคนเมื่อวานยืนยิ้มหวานอยู่ข้างเตียง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ วันนี้ตื่นสายนะคะเนี่ย” พี่พยาบาลแซวยิ้ม ๆ อย่างคนที่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว สหัสสะจึงยิ้มเขิน ๆ ให้ เพราะเมื่อมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมงแล้ว “ทานยาก่อนอาหารสักยี่สิบนาทีแล้วค่อยทานข้าวเช้านะคะ แล้วเดี๋ยวสาย ๆ คุณหมอจะเข้ามาดูอาการค่ะ วันนี้น่าจะกลับบ้านได้แล้วละค่ะ”
“ขอบคุณครับ” สหัสสะรับยาก่อนอาหารมาใส่ปากแล้วดื่มน้ำตาม พลางสายตาก็มองหาคนที่นอนข้าง ๆ กันทั้งคืน
“ลงไปที่ห้องอาหารค่ะ เห็นว่าอยากดื่มกาแฟ”
พยาบาลบอกอย่างรู้ใจ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินออกไปจากห้อง สวนกับคนที่ลงไปซื้อกาแฟกลับมาพอดี
“ตื่นมาก็มองหาเลยค่ะ” ก่อนปิดประตูให้ยังกระซิบบอกเบา ๆ ทำคนฟังใจฟู แต่แค่ยังพยายามทำหน้าเรียบขรึมอยู่เท่านั้น
วีรพัทธ์เดินเข้ามายืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ พร้อมกับยื่นอเมริกาโนร้อนหอมกรุ่นมาให้ “ถามพยาบาลแล้วเขาบอกว่ากินได้”
“ขอบคุณครับ” สหัสสะรับมาด้วยท่าทางเคอะเขิน เพราะตื่นทีหลังจึงกังวลว่าวีรพัทธ์จะรู้หรือไม่ว่าตัวเองแอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อคืน
“บ่ายนี้มีซ้อมคอนเสิร์ต จะไปด้วยกันมั้ย”
นี่คงเป็นคำพูดดี ๆ ประโยคแรกในระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา จึงทำให้สหัสสะเกิดอาการประหลาดใจ ดวงตากลมจึงเบิกกว้างขึ้นมาเป็นเชิงถาม “ผมต้องไปดูแลคุณอยู่แล้วนี่ครับ” ที่พูดอย่างนั้นเพราะปกติวีรพัทธ์ไม่เคยเอ่ยปากชวน มีแต่ไล่ให้ไปไกล ๆ มากกว่า บอกว่าไม่ต้องมาเฝ้า รำคาญลูกกะตา
“ก็เผื่ออยากจะกลับไปนอนพัก”
“ผมหายดีแล้วครับ”
น้ำเสียงที่ใช้ต่อกันช่างนุ่มนวลและดูเอื้ออาทรจนทั้งสองต่างก็รู้สึกดี วีรพัทธ์ยกแก้ว Dirty Coffee ขึ้นดื่มกลบเกลื่อน ในขณะที่สหัสสะก็ยก Americano ขึ้นจ่อที่ริมฝีปากเช่นกัน
“แค่ก ๆ ๆ ๆ”
แต่เพราะมันร้อนและลืมเป่าจึงตกใจจนสำลัก ทำให้คนที่ถือแก้ว Dirty Coffee อยู่ต้องรีบวาง แล้วดึงกระดาษทิชชูมาช่วยซับรอบปากที่เลอะให้
สัมผัสอ่อนโยนทำให้คนได้รับรู้สึกวาบหวามเพราะมีความรักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สีหน้าและแววตาที่มีความสุขจึงถูกปิดไว้ไม่มิด มันแสดงออกมาเป็นรอยสีเรื่อที่โหนกแก้มและความแวววาวในดวงตาสีนิล
วีรพัทธ์เองก็ไม่ต่างกัน แม้กำลังอยู่ในภาวะสับสน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาหวงแหนและโหยหาทั้งอ้อมกอดเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา และรอยยิ้ม หรือแม้แต่อาการเขินอายของคนตรงหน้า มากกว่าท่าทางแข็ง ๆ และคำพูดท้าทายในยามที่ปะทะคารมกัน ความแข็งกระด้างของเขาจึงลดลงและถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยนที่มันเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
ราวกับห้วงเวลาในอดีตมันได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ยามที่ทั้งสองได้สบตากัน ในวินาทีนั้นสหัสสะอยากจะบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมาเหลือเกิน หากวีรพัทธ์เพียงเอ่ยออกมาว่าต้องการ เขาจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเดี๋ยวนี้
“ไมล์”
“พี่วีร์ครับ”
“กูเข้ามาขัดจังหวะหรือเปล่าวะ?”
ทั้งสามเสียงนั้นถูกเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน แต่ดูเหมือนว่าเสียงของชานนท์จะดังที่สุด และหยุดทุกอย่าง มันทำให้ทั้งวีรพัทธ์และสหัสสะหันมาสนใจมากกว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูด หรืออาจเพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ ทั้งสองจึงพร้อมใจที่จะปล่อยผ่าน
“เปล่านี่” วีรพัทธ์ยักไหล่ให้เพื่อนหนึ่งที พร้อมกับถอยเท้าไปด้านหลัง “มาแต่เช้าเชียวนะมึง”
“สวัสดีครับพี่นนท์” สหัสสะเองก็รีบยิ้มกว้าง ทักทายรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงสดใส
“หน้าตาสดใสเชียวนะ มีอะไรดี ๆ เหรอ” ชานนท์ที่เห็นท่าทีของทั้งสองเมื่อครู่จึงอดแซวไม่ได้ คิดด่าตัวเองในใจว่าไม่น่าพรวดพราดเข้ามาเลย แต่ทำไงได้ก็เขาเข้ามาแล้วนี่นา
“ก็หายดีแล้วไงครับ” สหัสสะยังคงรอยยิ้มไว้เต็มหน้า แววตาสุกใสราวกับไม่ใช่คนที่เป็นเหยื่ออารมณ์ของวีรพัทธ์เมื่อคืนก่อน แถมสายตาที่มองคนกระทำเมื่อครู่ก็ตอกย้ำว่าสหัสสะไม่เคยไม่รักวีรพัทธ์เลย
“เฮ้อ!” คนมาใหม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่คล้ายโล่งใจที่หนุ่มรุ่นน้องหายดีและดูจะไม่ติดใจเอาความ แต่มันก็มีความหนักใจเจืออยู่ด้วย เพราะเมื่อลอบมองอาการของเพื่อนรัก ดูวีรพัทธ์จะกำลังสับสนอยู่มาก คงทั้งรักทั้งแค้นจนแยกไม่ออกอยู่กระมัง “เห็นแบบนี้พี่ก็ดีใจ” ชานนท์เหล่มองเพื่อนรัก “หวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นอีกนะ”
“ต่อไปผมจะระวังครับ จะได้ไม่ลื่นล้มในห้องน้ำอีก”
“นี่จะบอกพี่ว่าที่เจ็บขนาดนั้นเพราะลื่นล้มในห้องน้ำอย่างนั้นเหรอ” ชานนท์เลิกคิ้วถามคนพูดปดตาใส
“ก็… ครับ” ตอบรับแต่กลับหลบสายตา แม้จะรู้ว่าชานนท์ไม่เชื่อ แต่สหัสสะก็ยังยืนยัน “คืนนั้นผมรีบ ๆ จนลืมกินข้าวเย็นน่ะครับ ก็เลยหน้ามืดนิดหน่อย”
“เอาเถอะ ๆ วันหลังก็กินข้าวให้ตรงเวลาล่ะ กินให้มันเยอะ ๆ ด้วย พี่เป็นห่วง”
เมื่อชานนท์แสดงความห่วงใยคนป่วยจนออกนอกหน้า ก็เริ่มมีเสียงกระแอมกระไอออกมาจากคนที่ยืนกอดอกมองอยู่ห่าง ๆ
“อะไรติดคอ ให้หมอดูหน่อยมั้ย” ชานนท์หันไปถามเพื่อนด้วยท่าทางกวน ๆ พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้สหัสสะเพื่อกระตุ้นต่อมหึงหวงของวีรพัทธ์
“ว่างมากเหรอ ไม่มีงานทำหรือไง” แม้จะรู้ดีว่าชานนท์ไม่ได้คิดเกินเลยกับสหัสสะเกินกว่ารุ่นน้องคนหนึ่ง แต่วีรพัทธ์ก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ที่ทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขนาดนั้น และดูมันจะมากขึ้นทุกวันตั้งแต่ที่เขาเริ่มเอาคืนสหัสสะ ยิ่งยามที่ผิวขาว ๆ บนร่างเล็กนั่นปรากฏรอยแม้เพียงเล็กน้อย ชานนท์ก็มักจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “มายุ่งกับเมียชาวบ้านอยู่ได้” ประโยคสุดท้ายวีรพัทธ์กดเสียงต่ำลอดไรฟันขณะก้าวเท้าเข้ามาใกล้แล้วกระแทกไหล่ใส่ชานนท์ ตั้งใจให้เพื่อนได้ยินแค่คนเดียว
“ว่าไงนะ ใครเมียใครนะ” แต่มนุษย์ MC อย่างชานนท์ที่ปกติชอบส่งเสียงดังอยู่แล้ว มีหรือที่จะได้ยินแล้วเงียบ ต้องบอกให้โลกรู้สิถึงจะถูก
นั่นทำคนเพิ่งหายเจ็บหมาด ๆ ที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าชานนท์สลับกับวีรพัทธ์ทันที
“เมียมึงน่ะ ไม่ว่าหรือไง” วีรพัทธ์กลบเกลื่อนด้วยการอ้างว่าเขาหมายถึงคนรักของชานนท์
“ว่าอะไรล่ะ นี่ปลุกกูขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่ บอกให้รีบมาดูไมล์ เอิงคงกลัวว่ามึงจะทำอะไรไมล์ละมั้ง” แม้จะรู้ดีว่าในทีแรกวีรพัทธ์จะไม่ได้หมายถึงคนรักของตน แต่ชานนท์ก็รับลูก และขอจิกกัดสักนิดหน่อย
“มึงเล่าให้เอิงฟังเหรอ”
“ก็กูผัวเมียกัน นอนคุยกัน จะปิดบังได้ไง”
วีรพัทธ์ชำเลืองมองสหัสสะว่าจะมีสีหน้าอย่างไร เมื่อสังเกตเห็นอีกฝ่ายหลุบตาลงราวกับสะเทือนใจ ชายหนุ่มจึงคว้าคอเพื่อนแล้วลากออกไปชำระความนอกห้อง
“มึงพูดอะไรบ้าง” วีรพัทธ์เค้นเสียงถามเพื่อนเมื่อเดินห่างออกมาจากประตูห้องพัก
“ทำไม มึงกลัวอะไร หรือว่าเป็นห่วงกลัวว่าน้องไมล์จะเสียหาย ทีตอนทำไม่คิด” ชานนท์ประชดให้ ความจริงเขาไม่ได้เล่าอะไรให้คนรักฟัง เพียงแต่ต้องการแกล้งวีรพัทธ์เท่านั้น เรื่องปกป้องสหัสสะ เขาเองก็ไม่แพ้วีรพัทธ์เช่นกัน หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำเพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่เคยทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ
“กูห่วงชื่อเสียงของตัวเองต่างหาก เมียมึงเป็นนักข่าวนะอย่าลืม”
“กูก็เป็นเพื่อนมึงนะอย่าลืม คิดว่ากูจะขายเพื่อนลงหรือไง ถึงจะอยากก็เถอะ”
วีรพัทธ์สบสายตาจริงใจของเพื่อนรัก ก่อนจะผลักศีรษะเบา ๆ “กวนตีน!” เขาเชื่อว่าชานนท์ไม่ทำร้ายเขาอย่างแน่นอน แต่ก็อดด่าไม่ได้เพราะความปากพล่อยนั้น ทำให้สหัสสะไม่สบายใจ “ทีหน้าทีหลังอย่าพูดอะไรแบบนั้นอีก คนฟังเขาจะคิดมาก”
“หมายถึงน้องไมล์เหรอ” ชานนท์เอียงคอถามอย่างจับผิด “นี่มึงเป็นห่วงความรู้สึกน้องด้วยเหรอ”
พอถูกเพื่อนรักดักคอ วีรพัทธ์ก็หันหน้าหนี แต่ชานนท์ดึงไหล่ไว้ให้มาเผชิญหน้า “กูขอถามอะไรมึงหน่อย”
คนกำลังจะถูกถามเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงว่าอยากจะถามอะไรก็ถามมา
“มึงไม่อยากรู้ความจริงเมื่อสามปีก่อนจริง ๆ เหรอ” นี่คงเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกระมังที่ชานนท์ถามคำถามนี้กับเพื่อนรัก
“มึงคิดว่าสิ่งที่กูรู้ไม่ใช่ความจริงเหรอ”
“แล้วถ้ามันไม่ใช่ล่ะ”
“กูเห็นกับตา”
“มึงเห็นแค่ด้านข้างกับเสื้อตัวนั้น”
“เสื้อตัวนั้นที่มึงพูดถึงมีอยู่แค่สองตัวในโลกนี้ ตัวหนึ่งอยู่ที่กู และอีกตัวอยู่บนเตียงนั่น!”
และนี่ก็เป็นครั้งที่ร้อยเช่นกันที่วีรพัทธ์พูดแบบนั้นแล้วหุนหันเดินหนีไปโดยไม่ฟังอะไรอีก ชานนท์ได้แต่มองตามแผ่นหลังเพื่อนรักพร้อมกับถอนหายใจ
ช่วงบ่ายเมื่อวานชานนท์เดินทางไปที่โรงแรมแห่งนั้น เขาพยายามจะขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อสามปีก่อน แต่ผู้จัดการโรงแรมบอกว่าจะเก็บภาพไว้เพียงสามเดือนเท่านั้น แล้วมันจะถูกบันทึกทับลงไป เขาถามถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นก็ไม่มีใครจำได้ แถมพนักงานที่ทำงานในช่วงเวลานั้นปัจจุบันก็ออกกันไปหมดแล้ว
ภาพจากกล้องวงจรปิดก็ไม่มี คลิปในโทรศัพท์มือถือของพนักงานโรงแรมคนนั้นก็โดนวีรพัทธ์ปาลงไปในแม่น้ำเสียแล้ว คนที่ได้เห็นมันก็มีเพียงวีรพัทธ์ที่หน้ามืดตามัวเชื่อทุกอย่างตามความคิดและจินตนาการของตัวเอง ทุกอย่างดูสิ้นหวังที่จะค้นหาคำตอบนอกจากสองคนที่อยู่บนเตียงนั่นจะเป็นคนบอกออกมาเอง แต่ชานนท์ก็ไม่หมดหวัง เพราะแม้จะไม่มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดหรือคลิปวิดีโอ แต่หลักฐานจากสายตาของเขาก็ชัดเจนในวันนี้ว่าวีรพัทธ์กับสหัสสะยังรักกันมาก ดังนั้นเขานี่แหละจะช่วยทำให้สหัสสะยอมบอกความจริงออกมาเองว่าใช่คนที่อยู่ในห้องนั้นหรือไม่ เป็นคนที่หักหลังวีรพัทธ์จริง ๆ หรือเปล่า หรือมีเหตุผลอะไรที่บอกใครไม่ได้กันแน่
