ตอนที่ 1.2 ผู้จัดการชั่วคราว
Porsche 911 Carrera S สีขาวที่กำลังเลี้ยวซ้ายมายังทางเข้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังแทบจะเสียหลักเฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งที่ปาดเข้ามาตัดหน้าอย่างกะทันหัน วีรพัทธ์สบถเสียงดังอยู่หลังพวงมาลัยก่อนจะมองตามมอเตอร์ไซค์คันนั้น สายตาคมจับจ้องไปที่สองร่างที่นั่งคร่อมอยู่หลังอานอย่างหัวเสีย คนกำลังเผลอคิดอะไรเพลิน ๆ เกิดอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาทันที
และทันทีที่คนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังวาดขาลงมายืนข้างมอเตอร์ไซค์คันนั้นแล้วถอดหมวกกันน็อกส่งคืนให้คนขับพร้อมกับยื่นธนบัตรสีแดงไปให้ วีรพัทธ์ก็รีบหักพวงมาลัยเฉียดเข้าไปใกล้ทันที ใกล้ในระยะที่หากชายหนุ่มคนนั้นถอยหลังเพียงก้าวเดียวคงต้องโดนรถยนต์คันหรูพุ่งชนอย่างแน่นอน
“น้องระวัง!”
คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างดึงร่างของสหัสสะหลบอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เดินสวนกันอยู่บริเวณนั้นต่างพากันกรีดร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
“ไอ้พวกคนรวยสมัยนี้ ขับรถประสาอะไรวะ!” พี่คนขับวินมอเตอร์ไซค์ตะโกนด่าไล่หลัง ก่อนจะถามผู้โดยสารที่ตนพามาส่งอย่างเป็นห่วง “น้องเป็นอะไรมั้ย?”
สหัสสะเอาแต่มองตามท้ายรถคันนั้นจนไม่ทันได้ยิน พี่วินจึงเรียกซ้ำ “น้อง ๆ เป็นอะไรมั้ย?”
“อ้อ มะ ไม่เป็นไรครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ”
สหัสสะก้มศีรษะให้อย่างขอบคุณก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในห้างสรรพสินค้าทันทีจนพี่วินต้องทำหน้างง มือที่ควานหาเงินทอนชะงักอยู่ในกระเป๋าคาดเอว “เอ้า! แล้วไม่เอาเงินทอนเหรอ จะรีบอะไรขนาดนั้นวะ?”
ก็จะไม่ให้สหัสสะรีบได้อย่างไรในเมื่อวีรพัทธ์มาถึงแล้ว ขืนเขาเข้างานช้ากว่ามีหวังอีกฝ่ายคงจ้องหาเรื่องตลอดงาน และจะใช้มันเป็นข้ออ้างให้ดาวิกายกเลิกสัญญาว่าจ้างเขา นั่นเท่ากับว่าสหัสสะต้องจ่ายเงินที่รับมาก่อนคืนตามสัดส่วน
วีรพัทธ์ละสายตาจากกระจกมองหลัง เมื่อสหัสสะวิ่งหายเข้าไปในห้าง เขารีบเหยียบคันเร่งเพื่อจะพารถยนต์คู่ใจเข้าไปในอาคารจอดรถที่ทีมงานล็อกเอาไว้ให้แล้วพาตัวเองเข้าไปในงานแข่งกับเวลา ไม่ใช่แค่เพียงเพราะว่ามีความรับผิดชอบเป็นคนตรงต่อเวลา แต่เขาเป็นพวกชอบเอาชนะมากกว่า โดยเฉพาะกับผู้จัดการส่วนตัวชั่วคราว
ในขณะเดียวกันสหัสสะก็กำลังวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนแบบข้ามขั้นเพื่อจะไปให้ทันเช่นกัน “ขอโทษครับ ขอโทษครับ” ชายหนุ่มขอทางคนที่ยืนขวางด้านหน้า แล้วแทรกตัวผ่านขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
“ไมล์ ทางนี้”
สหัสสะจ้องมองไปที่ร่างสูงของเจ้าของเสียง ปากก็ร้องเรียก เท้าก็ก้าววิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“พี่นนท์!” และทันทีที่วิ่งไปถึงตัว สหัสสะก็ละล่ำละลักถาม “พี่วีร์มาถึงหรือยังครับ?”
“ยัง มันน่าจะกำลังจอดรถอยู่”
สหัสสะพ่นลมออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนจะยกมือไหว้ชายรุ่นพี่ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรในงานวันนี้
“ไอ้หมาบ้านั่นมันปล่อยเรานั่งวินมาอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย หัวถึงได้ฟูขนาดนี้” ชานนท์ยื่นมือมาขยี้ศีรษะของสหัสสะอย่างเอ็นดูปนสงสารที่ชายหนุ่มรุ่นน้องถูกเพื่อนสนิทของเขากลั่นแกล้งแทบจะทุกวัน แต่ยังไม่ทันที่สหัสสะจะตอบคำถาม สายตาของชานนท์ก็สังเกตเห็นรอยบางอย่างบริเวณลำคอขาว “แล้วนั่นไปโดนอะไรมา?”
ชานนท์จะเลื่อนมือไปสัมผัส แต่สหัสสะรีบถอยเท้าไปด้านหลังและขยับคอเสื้อขึ้นมาปกปิดทันทีพร้อมกับปฏิเสธพัลวัน “ไม่มีอะไรครับพี่นนท์”
ชานนท์สบตาหนุ่มรุ่นน้องอย่างรู้ทันจึงดักคอ “ไอ้วีร์ใช่มั้ย?”
“…”
“มันทำร้ายร่างกายเราหรือเปล่า?” เมื่อสหัสสะเงียบ ชานนท์ก็ถามต้อน “มันทำอะไรไมล์ บอกพี่”
“แล้วมึงเสือกอะไรด้วย!”
น้ำเสียงขุ่นมัวดังขึ้นด้านหลังของชานนท์ ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคุ้นหูคนนั้นเป็นใคร “ไอ้หมาบ้า!” ชานนท์หันไปด่าอย่างไม่ไว้หน้า ไม่สนว่าคนตรงหน้าจะเป็นนักแสดงผู้โด่งดัง เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และชานนท์ก็อยู่ในทุกโมเมนต์ของคนเป็นเพื่อน รวมทั้งชายหนุ่มรุ่นน้องที่เขาทั้งเอ็นดูทั้งสงสาร “เมื่อไรมึงจะเลิกกัด…” ชานนท์เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองอยู่ในงานอีเวนต์ มีทั้งทีมงาน เจ้าของแบรนด์และแฟนคลับมากมายรุมล้อมอยู่ด้านหน้า เขาจึงลดเสียงลงไม่ให้ดังจนคนอื่นได้ยิน “…น้องมันสักที” ท้ายประโยคชานนท์เหลือบมองไปทางสหัสสะ
“แล้วมึงเดือดร้อนอะไรด้วย เจ้าตัวเขายังไม่เคยว่าอะไรเลย กูได้ยินแต่เสียงคราง”
น้ำเสียงนั้นฟังดูเยาะหยันจนคนฟังรู้สึกได้ ชานนท์นั้นรู้สึกหมั่นไส้เพราะรู้จักนิสัยเพื่อนรักดี แม้วีรพัทธ์จะปากหมา แต่ที่ยืนด่าเขาอยู่นี่ก็เพราะหวง ส่วนอีกคนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยืนกำหมัดแน่น ความโกรธ ความน้อยใจ เริ่มตีตื้นขึ้นมาเป็นระลอก คงเกลียดเขามากสินะ เมื่อครู่ก็จะขับรถชน ตอนนี้ก็ยังจะพูดให้อายอีก
“ปากมึงเนี่ยนะ” ชานนท์ได้แต่กัดฟันกรอด อยากจะต่อยหน้าหล่อ ๆ นั่นสักหมัด แต่เพราะเป็นเพื่อนรักและเข้าใจในบางมุมแม้จะไม่ทั้งหมด เขาจึงทำไม่ลง “ไปแต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วไป งานใกล้จะเริ่มแล้ว”
พูดจบชานนท์ก็ผละออกไปคุยกับทีมงาน เพราะเขารับหน้าที่เป็นพิธีกรจึงต้องเปิดงานก่อน ส่วนวีรพัทธ์ยังไม่ถึงคิว มีเวลาให้แต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าและอ่านสคริปต์อีกครั้ง
พอเพื่อนรักให้หลังวีรพัทธ์ก็ตวัดสายตาใส่สหัสสะอย่างไม่พอใจ เขาก้าวยาว ๆ เข้าไปหา แล้วคว้าร่างเล็กกว่าเข้าไปด้านใน เต็นท์กระโจมที่เตรียมไว้สำหรับให้เปลี่ยนเสื้อผ้าถูกใช้เป็นห้องเชือดในทันที
“ทำไม ไปฟ้องอะไรไอ้นนท์อีก คิดว่ามันจะช่วยอะไรได้งั้นเหรอ ฮะ!?”
ฝ่ามือหนาบีบรอบลำคอขาวอีกครั้งซ้ำรอยเดิมที่ยังไม่หายช้ำ ทำให้ใบหน้าหวานนัยน์ตาเศร้าของเจ้าของมันตื่นตระหนก ทั้งตกใจทั้งน้อยใจในการกระทำของรุ่นพี่ที่สถานะตอนนี้ระหว่างกันมันเปลี่ยนไปแล้ว จากคนเคยรักกลายเป็นเกลียดชัง หาเรื่องทำร้ายกันอยู่ร่ำไป
“เปล่านะครับ”
สหัสสะปฏิเสธพร้อมกับความรู้สึกร้อนผ่าวตรงกระบอกตา ดวงตาเศร้ามองคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อและเหนื่อยที่จะอธิบาย เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไร วีรพัทธ์ก็ไม่เคยฟัง
“ยังมีหน้ามาปฏิเสธทั้ง ๆ ที่ก็เห็นกันอยู่ นายนี่มันไว้ใจไม่ได้ เชื่อใจไม่เคยได้ ไม่เคยเลย”
ไม่เพียงแต่คนถูกกระทำอย่างสหัสสะที่มองหน้าคนทำอย่างเจ็บปวด ทุกครั้งที่ผิวขาว ๆ ของคนตรงหน้ามีร่องรอยบอบช้ำจากน้ำมือ ริมฝีปาก หรือร่องรอยจากคมฟันของคนที่เป็นฝ่ายกระทำอย่างเขา วีรพัทธ์เองก็เจ็บปวดเช่นกัน แต่กระนั้นมันก็ไม่ถึงเศษเสี้ยวของสิ่งที่เขาเคยได้รับจากสหัสสะเมื่อสามปีก่อน
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ก่อนจะเมินสายตาตัดพ้อของอีกฝ่ายด้วยการกดใบหน้าเข้าไปหา บดขยี้ริมฝีปากสีเรื่ออย่างรุนแรงจนสัมผัสได้ถึงรสปร่าของเลือดที่ซึมออกมา
สหัสสะไม่ร้องสักแอะ ไม่ต่อว่า ไม่ต่อต้าน เขายอมจำนนเพราะรู้ดีว่ามันเป็นหนทางเดียวที่วีรพัทธ์จะได้สติคืนมา และรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองในตอนนี้คืออะไร
“น้องวีร์อยู่ในนี้หรือเปล่าคะ หยิบชุดเข้าไปผิดมั้ย หนูต้องใส่ชุดสีขาวนะลูก”
เสียงทีมงานสาวประเภทสองคนหนึ่งดังเข้ามา ทำให้วีรพัทธ์ผละใบหน้าออกมาจากสหัสสะ แล้วตอบรับออกไปอย่างพยายามจะทำให้น้ำเสียงเป็นปกติ
“ครับพี่ลูกน้ำ”
“พี่เข้าไปได้มั้ยคะ? โป๊อยู่หรือเปล่าเอ่ย” เสียงถามยังไม่ทันจบประโยค ซิปของเต็นท์กระโจมก็ถูกรูดลงมาพร้อมกับใบหน้าอวบอูมหลากสีสัน “อ้าว! น้องไมล์ก็อยู่ในนี้ด้วยเหรอคะ?” ลูกน้ำถามอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าผู้จัดการส่วนตัวของศิลปินจำเป็นจะต้องตามติดใกล้ชิดขนาดนี้
“กำลังจะออกไปแล้วครับ”
สหัสสะพยายามเม้มริมฝีปากที่รู้ดีว่าตอนนี้มันมีบาดแผล แล้วเดินเลี่ยงออกมาก่อนที่ลูกน้ำจะสงสัยไปมากกว่านี้
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะน้องวีร์?”
วีรพัทธ์ที่กำลังมองตามแผ่นหลังบอบบางอย่างลืมตัว รีบหันมาปฏิเสธ “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เถียงกันเรื่องสีเสื้อนิดหน่อย”
“อ้อ” ลูกน้ำพยักหน้าหงึกหงัก พลางก็ลอบสำรวจการแต่งตัวมางานของวีรพัทธ์ ปกติศิลปินหนุ่มคนดังจะคุมโทนขาวดำ แต่วันนี้ใส่เสื้อสีส้มมางาน สงสัยว่าจะโดนผู้จัดการบังคับ แต่ที่น่าแปลกคือวีรพัทธ์เป็นฝ่ายยอมใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดที่ตัวเองไม่เคยชอบเพราะสหัสสะงั้นเหรอ?
งานเปิดตัวสินค้าผ่านพ้นไปอย่างสนุกสนานเพราะพิธีกรกับศิลปินคนดังเป็นเพื่อนสนิทกัน ชานนท์ซึ่งเป็นคนที่ถนัดเรื่องสร้างบรรยากาศและเสียงหัวเราะมักมีมุกตลกให้งานมีสีสัน แม้วันนี้พิธีกรหนุ่มจะจิกกัดเพื่อนรักมากเป็นพิเศษเพราะเคืองเรื่องของสหัสสะ แต่ก็ไม่มีใครสงสัย ด้วยคิดว่าทั้งสองหยอกล้อกันเพราะความสนิทสนม
“มึงมีงานต่อหรือเปล่า?” หลังงานเลิกชานนท์ก็เดินเข้ามาถามเพื่อน
“มึงไม่ไปถามผู้จัดการกูล่ะ” แต่กลับถูกวีรพัทธ์ประชดใส่
แต่ชานนท์ก็ไม่วายดักคออย่างรู้ทัน “หึง?”
“หึงพ่อง!”
ชานนท์กระตุกมุมปากเมื่อเพื่อนรักปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นว่าอาการออกตลอดงาน ในงานวันนี้ไม่ได้มีเพียงวีรพัทธ์ ยังมีนักแสดงซีรีส์ที่กำลังโด่งดังอีกหลายคนมาร่วมงาน และบางคนก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันที่รู้จักกับสหัสสะ จึงมีการทักทายพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ทำคนที่นั่งอยู่บนเวทีมองตาขวางเป็นระยะ บางครั้งก็ไม่โฟกัสกับคำถามจนชานนท์อดที่จะเอ่ยปากแซวไม่ได้ตั้งหลายครั้ง
“แล้วมึงอะ มีงานต่อมั้ย?” วีรพัทธ์ถามกลับบ้าง ในน้ำเสียงนั้นราวกับกำลังกลุ้มใจ อยากหาที่ระบาย
“ไม่มีอะ”
“ไปแดกเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”
“มึงขอผู้จัดการมึงยัง?”
วีรพัทธ์ได้ยินก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที “ทำไมกูต้องขอ”
“ก็ตอนพี่เดียร์อยู่ เขาห้ามมึงจะตาย ไม่ให้เที่ยวกลางคืนน่ะ กูไม่อยากโดนหางเลขไปด้วย ฟังพี่เดียร์ด่าแม่งไม่สนุกนะโว้ย”
เมื่อชานนท์บ่นอุบ วีรพัทธ์จึงได้เข้าใจว่าผู้จัดการที่เพื่อนรักหมายถึงคือดาวิกา ไม่ใช่สหัสสะที่เขานึกถึงเป็นคนแรก
“มึงไม่บอก กูไม่บอก แล้วพี่เดียร์จะรู้ได้ไง”
“แล้วไมล์ล่ะ ต้องบอกมั้ย?” ชานนท์ถามพร้อมกับสายตาที่จับจ้องปฏิกิริยาของเพื่อนรัก
“ไม่จำเป็น!” วีรพัทธ์กระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ ราวกับจะตอกย้ำว่าคนที่เพื่อนกำลังพูดถึงนั้นไม่ได้สำคัญเลยสักนิดเดียว
“แต่ตอนนี้น้องดูแลมึงแทนพี่เดียร์อยู่นะ เกิดอะไรขึ้นกับมึงน้องก็ต้องรับผิดชอบ ควรจะบอกหน่อยมั้ย ถ้ามึงไม่อยากบอกเดี๋ยวกูบอกให้ก็ได้” พูดพลางชานนท์ก็ชะเง้อมองหาสหัสสะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังหอบของที่แฟนคลับเอามาให้วีรพัทธ์ออกมาพะรุงพะรังก็รีบกวักมือเรียก
“ไม่ต้องเสือกได้มั้ย แล้วไม่ต้องเรียกนายนั่นว่าน้อง กูลูกคนเดียว มึงก็ลูกคนเดียว” หาเรื่องพาลเพื่อนไปอย่างนั้นแหละ ก็แค่หมั่นไส้ที่ชานนท์ใส่ใจผู้จัดการส่วนตัวของเขาเสียเหลือเกิน
แต่ชานนท์คนมึนก็ไม่ฟังเพื่อนรัก เขารีบเข้าไปช่วยสหัสสะถือของ “หอบอะไรมาเยอะแยะเนี่ยน้องไมล์?” แล้วยังเน้นคำว่าน้องด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ของที่แฟนคลับคุณวีร์ฝากมาให้น่ะครับ” สหัสสะยิ้มให้ชานนท์ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองวีรพัทธ์ “ขอยืมกุญแจรถหน่อยได้มั้ยครับ ผมจะเอาไปเก็บที่รถให้”
วีรพัทธ์ปรายตามองข้าวของมากมายเต็มสองมือของคนตรงหน้า ก่อนจะกระตุกยิ้มร้าย “ฉันจะไปธุระต่อ นายขนขึ้นแท็กซี่กลับไปก็แล้วกัน”
แล้วเขาก็คว้าคอชานนท์ลากให้เดินออกไปจากงาน ชานนท์พยายามต่อต้าน แต่พอเหลียวมาสบตาสหัสสะ อีกฝ่ายกลับยิ้มให้พลางส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ชานนท์จึงหยุดขัดขืน แล้วเดินไปกับวีรพัทธ์แต่โดยดี แต่ก็ไม่วายก่นด่า
“ใจดำเหมือนหมา!”
เมื่อหนุ่มรุ่นพี่กับวีรพัทธ์พ้นสายตา สหัสสะก็หอบข้าวของออกมาหน้าห้างสรรพสินค้า มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อสำรวจว่ามีเงินสดอยู่เท่าไร พอจะจ่ายค่าแท็กซี่ไปถึงคอนโดได้หรือไม่ ก็พบว่าไม่น่าจะพอ และเพิ่งคิดได้ว่าลืมเงินทอนจากพี่วินมอเตอร์ไซค์คนนั้นด้วย
“ตั้งหกสิบบาท” ชายหนุ่มบ่นอุบอย่างเสียดาย นั่นเขากินข้าวได้ตั้งมื้อหนึ่งเชียวนะ
เมื่อเงินสดไม่พอ สหัสสะก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเข้าแอปพลิเคชันของธนาคารเพื่อดูยอดเงินที่เหลือในบัญชี
“น่าจะไปถึงอยู่นะ”
คำนวณแล้วว่าพอจะพาตัวเองและของฝากจากแฟนคลับของวีรพัทธ์กลับไปถึงคอนโดได้ เขาก็โบกมือเรียกรถแท็กซี่ที่จอดเรียงแถวรอผู้โดยสารทันที
เมื่อขึ้นไปนั่งบนเบาะรถได้ก็ส่งข้อความไปรายงานดาวิกาว่างานวันนี้ผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อย
Dear เก่งมาก
Dear แล้วนี่อยู่กับวีร์หรือเปล่า
เปล่าครับ คุณวีร์บอกว่ามีธุระ ยังไม่กลับครับ Mille
Dear ธุระอะไร แล้วไปกับใคร
ไปกับพี่นนท์ครับ Mille
Dear หืม ถ้าสองคนนั่นไปด้วยกันละก็ ไม่ได้ไปธุระที่ไหนหรอก แอบไปเที่ยวกลางคืนกันมากกว่า ไม่ได้นะไมล์ ห้ามให้วีร์ดื่มเด็ดขาด เดี๋ยวไปมีเรื่องมีราวในผับก็เป็นข่าวอีก
ขอโทษครับ งั้นเดี๋ยวผมเอาของไปเก็บแล้วจะรีบตามไปครับ Mille
