5
รนิดาสะกดรอยตามคนรักมาครบสามวันแล้ว แต่สิ่งที่ได้มายังไม่มากพอที่จะเป็นข้อกล่าวหาว่าเขานอกใจตนได้เต็มร้อย แต่ก็ยังไม่ถอดใจซะทีเดียว แต่วันนี้ต้องพักเรื่องของเขาเอาไว้เพราะติดภารกิจต้องไปรับบิดาที่สนามบิน
“อะไรคะเตี่ย” รนิดารับของฝากจากบิดาเหมือนเช่นน้องสาวคนอื่นๆ แต่ที่ถามออกไปเพราะนอกจากแหวนกับกำไลหยกเข้าคู่กันแล้ว ของเธอพิเศษตรงที่มีหนังสือเก่าๆ อีกเล่มหนึ่งเป็นของฝากด้วย
“เตี่ยเก็บหนังสือเล่มนี้ได้ตอนที่ออกจากพระราชวังกู้กง ถามหาเจ้าของก็ไม่มี เตี่ยเห็นว่ามันเป็นนิยายก็เลยเอามาฝากลูกให้ลูกอ่าน” เพราะรู้ดีว่าลูกสาวคนนี้ชอบอ่านหนังสือนิยาย เขาจึงนำหนังสือที่เก็บได้มาฝากเธอ ถึงแม้สภาพของมันจะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นหนังสือเก่ามากๆ แล้วก็ตาม
“หงส์ชอบอ่านแนวทะเลทรายอย่างเดียวจ้ะเตี่ย แนวอื่นหงส์ไม่อ่านหรอก”
“อ่านไปเถอะลูก บางทีนิยายจีนอาจจะสนุกกว่านิยายทะเลทรายของลูกก็ได้นะ”
“แต่มันเป็นภาษาจีนนี่จ๊ะเตี่ย”
“ลูกก็เก่งภาษาจีนพอๆ กับภาษาไทยไม่ใช่เหรอ” นี่คืออีกหนึ่งสาเหตุที่เขาภูมิใจในตัวลูกสาวคนโตที่สุด เพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวในบรรดาห้าคน ที่มีพรสวรรค์เกี่ยวกับภาษาจีนมากที่สุด เธอสามารถอ่านเขียนภาษาจีนได้มากพอๆ กับตน ผิดกับลูกคนอื่นที่พอจะพูดโต้ตอบกับตนได้บางคำเท่านั้น
“เตี่ยเขาให้อ่านก็อ่านเถอะเจ๊ มันอาจจะสนุกกว่าชีคของเจ๊ก็ได้” น้องสาวคนที่สองกล่าวเอาใจบิดา หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็ช่วยกันพูดอีกคนละคำสองคำ
“เออๆๆ เดี๋ยวเจ๊จะลองอ่านดูก็แล้วกัน เมื่อคืนเพิ่งอ่านชีคอัมรานจบไปพอดี ถ้าสนุกเดี๋ยวจะแปลลงเว็บเลยดีป่ะ”
“ถ้ามีคนติดตามอ่านเยอะ เจ๊ก็ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์แล้วเอามาแปลขายเลยสิ” น้องสาวคนที่สี่เสนอ
“ก็ดีเหมือนกันนะ” เธอทำเป็นเห็นด้วยก่อนจะกลั้วหัวเราะอย่างมีความสุข เก็บหนังสือนิยายเล่มขนาดเอสี่ใส่กระเป๋าสะพายใบโตของตนเอง.. จากนั้นจึงเรียกพนักงานร้านอาหารเช็กบิลและพาบิดาแยกจากน้องๆ เพื่อเดินทางกลับบ้านแพ้ว
หลังจากเว้นว่างการติดตามข้อมูลในวันที่สี่ ในวันที่ห้าวันนี้เธอจึงกลับมาสะกดรอยเขาอีกครั้ง
แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม หลังจากสอนหนังสือเสร็จเขาก็มักจะแวะดื่มกับเพื่อนๆ ไม่ซ้ำหน้า ประมาณเที่ยงคืนไม่เกินตีหนึ่งก็จะขับรถกลับที่พัก นับเป็นความรู้ใหม่ที่ค้นพบว่าเขาคือหนุ่มสังคมคนหนึ่ง เพราะเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขามักจะหมกมุ่นอยู่กับการทำรายงานเพื่อคว้าปริญญาเอก
วันที่ห้า วันที่หก วันที่เจ็ด วันที่แปดและวันที่เก้าผ่านไป จวบจนกระทั่งถึงวันที่สิบ
วันนี้เธอขับรถตามเขามาจนถึงห้องพัก แล้วเตรียมตัวจะวนรถกลับเหมือนทุกวัน แต่อยู่ดีๆ รถของเธอก็เกิดดับขึ้นมาดื้อๆ สตาร์ทอย่างไรก็ไม่ติด
“เป็นอะไรของมันนะ” เริ่มบ่นอย่างหงุดหงิดแล้วเปิดประตูลงไปตามคนรักให้ช่วยมาดูรถให้
“ลิฟต์เสียค่ะพี่ เมื่อกี้ไฟดับ ลิฟต์มันก็เลยค้าง” เจ้าหน้าที่ของหอพักบอกกับรนิดาที่กำลังจิ้มๆ ตรงปุ่มขึ้นลง
“ขอบคุณค่ะ” เธอรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันซวยที่สุดในรอบปีของตัวเอง จำใจต้องเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสี่ด้วยสองเท้า เพราะคนรักของเธอไม่ยอมรับโทรศัพท์อีกแล้ว เธอเดินผ่านชั้นหนึ่ง ชั้นสองและขึ้นสู่ชั้นที่สามอย่างสบายๆ แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าขยับต่อไปที่บันไดขึ้นสู่ชั้นสี่ หูก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยอันเคร่งเครียดของชายหนุ่มคนหนึ่งแว่วเข้ามา
“จะให้ผมทำยังไง ในเมื่อผมก็บอกจ๋าแต่แรกแล้วว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ผมมีผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยแล้ว”
“แต่อาจารย์บอกว่าอาจารย์รักจ๋านี่คะ ส่วนอาจารย์หงส์เป็นแค่ความรับผิดชอบที่อาจารย์จำใจ”
“ถึงยังไงผมก็เลือกแต่งงานกับหงส์มากกว่าจ๋า เราจบกันแค่นี้เถอะ”
“ทำไมอาจารย์มาตัดรอนจ๋าแบบนี้ล่ะคะ แล้วอนาคตของจ๋าล่ะ”
“ผมจะส่งเสียเลี้ยงดูจ๋าเองจนกว่าจะเรียนจบตกลงไหม”
“ไม่ตกลงค่ะ อาจารย์จะให้จ๋าแบกท้องเรียนหนังสือไปด้วยเหรอคะ”
“ก็ผมบอกว่าให้จ๋าไปเอาออกแล้วไง ถ้าจ๋าไม่อยากเอาออกก็พักการเรียนไปคลอดลูกให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียนใหม่ ส่วนเรื่องลูกผมจะรับผิดชอบเอง”
“อาจารย์ยอมรับลูกของเราแล้วเหรอคะ”
“ก็ไม่ได้อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ในเมื่อจ๋าค้านหัวชนฝาว่าจะไม่ทำแท้ง ผมก็ต้องหาทางออกอื่นมาทดแทน”
“อาจารย์จะทำอะไรกับลูกของเราคะ”
“เรื่องนั้นจ๋าไม่ต้องรู้หรอก แต่ผมรับรองว่าเขาจะถูกเลี้ยงดูอย่างดี ขอเพียงแค่จ๋าอย่ามายุ่งกับผมอีกก็พอ”
“ไม่! จ๋าไม่ยอม จ๋าต้องได้เป็นเมียของอาจารย์อย่างถูกต้องเท่านั้นจ๋าถึงจะยอม”
“จะตะโกนทำไมล่ะ”
“ก็ตะโกนให้ทุกคนในที่นี่ได้รู้ไปเลยไงคะ ว่าจ๋าเป็นเมียของอาจารย์และเรากำลังจะมีลูกด้วยกัน”
ธนายุทธกระชากแขนเรียว “ไปคุยกันที่ห้อง” ตะคอกเสียงเครียดลอดไรฟัน ดึงเธอไปที่ห้องพัก
“ไหนๆ ก็คุยมาตั้งเยอะแล้วก็คุยให้มันจบตรงนี้ไปเลยดีกว่า”
เสียงที่สามที่แทรกขึ้นมาทำให้สันหลังของธนายุทธเย็นวาบ เขาหันกลับไปมองด้วยลักษณะที่เรียกได้ว่าศีรษะแทบเคล็ด เบิกตาโตเต็มขนาดด้วยความตกใจ
“หงส์!”
“อาจารย์หงส์!”
“ฉันขอยกเลิกงานแต่งงาน นายกับฉันขาดกันตั้งแต่วันนี้” เธอไม่สนอาการไก่ตื่นของหญิงร้ายชายเลวคู่นี้ พูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไปโดยไม่ยอมให้น้ำตาที่แทบจะทะลักออกมาให้คนทั้งคู่ได้เห็น
“หงส์ฟังติ๊กก่อน ติ๊กอธิบายได้นะ”
“หยุดอยู่แค่นั้นเลยนะ! อย่าให้ฉันต้องเกลียดนายมากไปกว่านี้เลย” เธอตะคอกเสียงเครียดโดยไม่หันไปมองทางด้านหลัง เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวิ่งตามลงมา “ไม่ต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟังทั้งนั้น นายไปจัดการชีวิตอันบัดซบของนายให้ได้ก่อนที่เรื่องมันจะไปถึงหูของอธิการบดีเถอะ ฉันไม่อยากให้นายต้องตกงาน เดี๋ยวจะไม่มีปัญญาเลี้ยงดูลูกที่กำลังจะลืมตามาดูโลก”
