สปีดพิศวาส by ดาหลา

88.0K · จบแล้ว
ทรายสีเงิน
53
บท
8.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เจ็บไหม” เขาถามเสียงนุ่ม แววตากรุ้มกริ่มมองทรวงอกขาวนวลอวบอิ่มที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้รู้ “คนบ้า รังแกได้แม้กระทั่งคนมองไม่เห็น” หล่อนต่อว่าเสียงเครือ สิงหนาทยกมือแตะริมฝีปากอิ่มห้ามพูด ดวงตาคมมองน้ำตาที่เจืออยู่ในดวงตาคู่สวย “จากนี้ผมจะเป็นดวงตาและแสงสว่างให้สาเองนะครับ สาจะเห็นทุกอย่างที่ผมเห็น ผมสัญญา” เพราะต้องการสืบเรื่องการเสียชีวิตและสานฝันของพี่ชายให้เป็นจริง ทำให้ดมิสาต้องรับคำท้าของพญาสิงห์อย่าง สิงหนาท เอลตาโน่ นักธุรกิจค้ารถยนต์นำเข้าลูกครึ่งไทย-อเมริกัน จนประสบอุบัติเหตุถึงขั้นเสียตาทั้งสองข้าง และคนที่เธอเรียกเขาว่าฆาตกรก็ยื่นมือเข้ามาสานฝันและดูแลเธอไปต้องชีวิต “เพราะรัก เพราะหัวใจสั่งให้ต้องทำ และต้องดูแลแม่ของลูกอย่างดีที่สุด” หล่อนหน้าแดงระเรื่อจนเขาอดใจไม่ไหวจุมพิตไปทั่วดวงหน้า “นานเท่าไหร่กัน” หล่อนถามเสียงเครือ เจ็บลึกในหัวใจหากต้องจากเขาไปจริงๆ สิงหนาทละใบหน้าออกจากแก้มหอมกรุ่น ตามองดวงหน้าคนในอ้อมกอดด้วยความรักทั้งหมดที่มี แม้เธอจะไม่มีโอกาสเห็นก็ตาม “ตลอดชีวิตของผมเลยคนดี” สิงหนาทยิ้ม เมื่อคิดถึงเดิมพันที่เป็นเหมือนหวงหัวใจที่ผูกมัดเขาและเธอเอาไว้ด้วยหัวใจและคำมั่นสัญญา เพราะเธอคือหัวใจสิงห์หรือฮาร์ตไลออน…

นิยายรักโรแมนติกประธานพลิกชีวิตเศรษฐีรักหวานๆ

1.เด็กมีปัญหาหรือเปล่า

*** ทักทายคร้า***

บรรยากาศยามค่ำคืนบนถนนหลวงในกรุงเทพฯ มีเพียงแสงไฟที่ติดอยู่บนไหล่ทางส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ความร้อนระอุในช่วงกลางวันถูกสายลมเย็นพัดพาหนีหายไป หลายคนต่างหลับใหลอย่างมีความสุข แต่อีกหลายคนต้องเอามืออุดหูตัวเอง เพราะเสียงรถที่แข่งกันเร่งเครื่องดังสนั่นอยู่บนถนนหลวงอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ดอกเตอร์ดมิสา ดารากาล อาจารย์คณะวิศวกรรมมหาวิทยาลัยชื่อดัง จอดรถบนไหล่ทางหลวงมองรถยนต์นับสิบคันจอดอยู่บนถนน ดวงตากลมสวยภายใต้แว่นสายตามองกลุ่มวัยรุ่นชายหญิงยืนประจันหน้ากันอยู่หน้ารถ ดมิสามองรถสปอร์ตสีเหลืองรุ่นใหม่ล่าสุดที่นำเข้ามาในเมืองไทยเพียงไม่กี่คันจอดนิ่งอยู่ข้างหลังกลุ่มนักซิ่ง ริมฝีปากอิ่มเหยียดยิ้ม ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ

“พวกลูกเศรษฐีมีปัญหาใหญ่กันจริงๆ” มือบางกำพวงมาลัยแน่นแล้วแหงนมองท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับส่องสว่างอยู่อย่างอ่อนใจ เพราะเธอและรถอีกหลายคันต้องจอดรอจนกว่าการแข่งขันจะจบลง

อาจารย์สาวนั่งมองรถสปอร์ตคันสวยโดดเด่นอยู่ใต้แสงไฟเคลื่อนไปยังจุดสตาร์ต รถคันนี้เหมาะที่จะโชว์ตามงานมอเตอร์โชว์หรือโชว์รูมรถมากกว่า ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวเดินไปที่รถ เพียงมือสัมผัส ประตูรถทั้งสองข้างก็เคลื่อนออกคล้ายปีกนก ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก สมรรถนะรถสุดยอดที่สุด เครื่องยนต์คงเร็วเต็มพิกัด ต้องดูฝีมือคนขับว่ามือถึงหรือเปล่า

หญิงสาวนั่งพิจารณาเจ้าของรถ อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบห้า ความโดดเด่นเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง ทำให้เดาไม่ยากว่านายคนนี้น่าจะเป็นลูกท่านหลานเธอคนดังในเมืองไทยอย่างแน่นอน โตขนาดนี้น่าจะใช้สมองไตร่ตรองความดีชั่วได้มากกว่านี้ ใบหน้าสวยส่ายไปมาอย่างเสียดาย ในใจก็ลุ้นระทึกไปด้วย

อนล เอลตาโน่ หลานชายเจ้าของโชว์รูมรถนำเข้าของเมืองไทยมองคู่แข่งที่หันมาเหยียดยิ้มให้ ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ สายตาคมกริบดุจอินทรีมองเส้นชัยที่อยู่เบื้องหน้า สาวนุ่งน้อยห่มน้อยรูปร่างอรชรถือธงเดินมาหยุดอยู่กึ่งกลางระหว่างรถทั้งสองคัน ธงสีขาวถูกยกขึ้นสูงพร้อมสะบัดเสียงเต็มที่

“ไป”

สิ้นเสียงรถสองคันพุ่งทะยานออกจากจุดสตาร์ตอย่างรวดเร็ว ดมิสามองความเร็วของรถตาค้าง การขับเคี่ยวเป็นไปอย่างตื่นเต้น รถทั้งสองคันสมรรถนะดีเยี่ยม การแพ้ชนะคงอยู่ที่ฝีมือคนขับล้วนๆ ความเร็วรถขนาดนี้น่าจะเป็นรถแข่งในสนามมากกว่าที่จะมาแข่งบนถนนแบบนี้ ไม่ถึงนาทีรถสปอร์ตสีเหลืองก็วิ่งเข้าเส้นชัยตามที่เธอคาดการณ์

“โธ่โว้ย!” ประทีบ ไพบูลย์ ฟาดฝ่ามือกระแทกพวงมาลัยอย่างเจ็บใจที่แพ้อีกฝ่าย ไม่นานรถสองคันก็วิ่งกลับมาที่จุดสตาร์ต ฝ่ายสนับสนุนของทั้งสองฝ่ายเฮลั่นและวิ่งไปต้อนรับ คนขับทั้งสองเปิดประตูก้าวลงจากรถเดินมาเผชิญหน้ากัน

“ฝีมือตกหรือเปล่าวะทีป” อนลถามเหมือนจะเยาะเย้ย ทำให้อีกฝ่ายหน้าตึงขึ้นทันที ใบหน้าคมสันขาวสะอาดมองดวงตาลุกวาวนิ่งเฉยอย่างไม่เกรงกลัว

“วันนี้เป็นวันของแกอนล เอ้า นี่เงิน” ประทีบโยนเงินเดิมพันให้ แล้วหันกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างขุ่นเคืองที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

“แบบนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้วลูกพี่” หนุ่มหน้าเหี้ยมผิวสีดำแดงเดินเข้ามาประชิด

อนลยิ้มก่อนจะยื่นเงินปึกเมื่อสักครู่ใส่มือให้อีกฝ่าย

“พวกนายเอาไปก็แล้วกัน ฉันกลับก่อน” ร่างสูงเพรียวหันหลังกลับไปที่รถได้เพียงสองก้าว ก็ต้องสะบัดตัวเมื่อมีมือหยาบกร้านจับบนไหล่หนา

“อะไรวะ จับแค่นี้ก็ไม่ได้”

“ไม่ได้ แล้วพวกนายมีอะไร” อนลถามเสียงห้วนแววตาไม่พอใจ ริมฝีปากหนาดำคล้ำของเกษมกระตุกยิ้มดวงตาแข็งกร้าว

“ไปฉลองกันหน่อยไม่ดีเหรอ หรือว่าแกรังเกียจพวกฉัน” เกษมยกมือเกี่ยวกระเป๋ากางเกงเดินเข้ามาหาและมีวัยรุ่นสี่ห้าคนเดินตามมา อนลมองอย่างระวังตัว

“อย่าดีกว่า ฉันแค่มาลองรถ”

“ทำไมไอ้ลูกเศรษฐี กินข้าวแกงไม่เป็นหรือไง” ชายร่างผอมกะหร่องถามอย่างหาเรื่องมากกว่าจะเอาคำตอบ อนลไหวไหล่อย่างไม่สนใจ ก่อนจะกดรีโมตเปิดประตู

“ลูกพี่อุตส่าห์ชวน มึงยังกล้าปฏิเสธเหรอวะ คิดว่าตัวเองแน่มากรึไง” วัยรุ่นอีกคนพูดเสริมอย่างหาเรื่อง

“ฉันไม่มีลูกพี่ พวกนายมีก็ไม่เกี่ยวกับฉัน” อนลบอกเสียงห้วน

“พูดแบบนี้อยากมีเรื่องนี่หว่า เฮ้ย! พวกเราสั่งสอนไอ้ลูกเศรษฐีให้สำนึกหน่อยโว้ย” ชายร่างผอมสั่งการแล้วกระโจนเข้าใส่ ร่างสูงเพรียวหลบแล้วสวนหมัดเข้าที่ท้องเต็มแรง

จากนั้นการตะลุมบอนหนึ่งต่อหกก็เริ่มขึ้น ดมิสานั่งมองการต่อสู้อย่างตกใจ เวลาผ่านไปเพียงสิบนาทีร่างสูงเพรียวก็พลาดท่าถูกสอยลงไปนอนกับพื้นถนน ใบหน้าคมสันแดงช้ำ มุมปากมีเลือดไหวออกมา จากนั้นพวกมันก็ตามไปกระทืบซ้ำอย่างไม่ปรานี ดมิสามองไปรอบๆ ตัว เห็นรถหลายคันจอดอยู่ข้างหลังเพื่อรอผ่านทาง แต่ก็ไม่มีใครลงไปช่วย ร่างโปร่งระหงจึงตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถ

“ตำรวจมา! ตำรวจมา!” หญิงสาวตะโกนดังลั่น

เท่านั้นเองความโกลาหลก็เกิดขึ้น ต่างคนต่างรีบขับรถหนีเพราะกลัวถูกจับไปโรงพัก พอทุกคนสลายตัวไป ร่างสูงเพรียวก็ประคองตัวลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซไปที่รถ

“ไหวหรือเปล่า”

อนลหันกลับไปทางต้นเสียงอย่างไม่สนใจนัก ดมิสาส่ายหน้าไปมาแล้วขยับเข้ามาใกล้

“ขอบคุณที่มาช่วย” อนลกล่าวเสียงเรียบ พยายามพยุงตัวอย่างเต็มที่

“จะให้โทรขอความช่วยเหลือจากป่อเต็กตึ๊งมั้ย”

“ไม่เป็นไร ขอกันกินมากกว่านี้ เจ๊ก็รีบกลับบ้านไปซะถนนเปิดแล้ว” อนลกัดฟันพูดข่มความเจ็บปวดเอาไว้ข้างใน

“นายขับรถไหวแน่นะ”

อนลพยักหน้าแทนคำตอบ ดมิสาจึงเดินกลับไปที่รถ เธอก้าวได้ยังไม่ถึงสองก้าว ร่างสูงเพรียวก็ล้มลงไปนอนอยู่บนพื้นถนน ดมิสาจึงรีบวิ่งมาดู มือบางประคองศีรษะเขาขึ้น

“นาย! นาย!” ดมิสาเขย่าร่างอนลแรงๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติ

หญิงสาวหันรีหันขวางเพื่อหาคนช่วย แต่รถทุกคันก็วิ่งผ่านไปอย่างไร้น้ำใจ ดมิสาจึงเคลื่อนรถเข้ามาหยุดใกล้ๆ แล้วดึงร่างอนลขึ้นไปนอนที่เบาะหลัง แต่กว่าจะสำเร็จก็ทำให้เธอหอบหายใจอย่างหมดแรง

“เฮ้อ ตัวหนักยังกับช้าง เป็นลูกเป็นหลานจะจับฟาดก้นซะให้เข็ดเลย แล้วนี่จะไปส่งที่ไหนล่ะเนี่ย ป่านนี้พ่อแม่คงเป็นห่วงแล้วล่ะมั้ง” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง มองชายหนุ่มก่อนจะส่ายหน้าไปมา ดูจากรถและการแต่งตัวคงเป็นลูกเศรษฐีติดอันดับในเมืองไทยเป็นแน่ พวกเลี้ยงลูกด้วยเงินเจริญล่ะประเทศไทย หญิงสาวคิดในใจพร้อมกับเป่าลมออกจากปาก แล้วเดินไปประจำที่คนขับและขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างที่ตั้งใจ

****