บทที่ 3 กลั่นแกล้ง
เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงยามเย็น เพราะยามนี้เป็นช่วงที่สองของฤดูหนาวอากาศจึงเย็นลงเป็นอย่างมาก ในตำหนักของเสิ่นลี่จูแม้จะปิดหน้าต่างทุกบานจนสนิทแล้วแต่ความหนาวเย็นกลับไม่ได้บรรเทาเบาบางลงเลยแม้แต่น้อย เมี่ยวเถียนเทชาร้อนใส่ถ้วยส่งให้เจ้านายของตน ชาป้านนี้เป็นเพียงชาธรรมดาที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอันใด รสชาติจึงไม่ได้หวานละมุนเช่นชาดีดีที่นางเคยดื่มก่อนหน้านี้ แต่เสิ่นลี่จูไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก ขอเพียงมีที่ให้นอน มีน้ำให้ดื่ม มีอาหารให้กินอิ่มท้อง นางก็พอใจแล้ว สถาณการณ์ที่ไม่สู้ดีเช่นนี้ นางไม่อาจเรียกร้องอะไรได้มากนัก สิ่งที่นางจะต้องทำตอนนี้ก็คือคิดหาหนทางกลับไปยังโลกอนาคตที่นางจากมา
แต่เสิ่นลี่จูคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก นางจึงเลิกคิดเสียและเก็บแรงเอาไว้ก่อน รอให้สมองเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้แล้วค่อยคิดหาหนทาง
บรรยากาศยิ่งดึกก็ยิ่งหนาวเย็น เสิ่นลี่จูมองไปที่เทียนไขซึ่งถูกจุดให้ความสว่างคราหนึ่ง เมี่ยวเถียนสาวใช้ของนางยามนี้อยู่เฝ้าที่หน้าประตู เสิ่นลี่จูรู้สึกไม่คุ้นชินกับที่นี่จึงทำให้ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจ
"เจ้านอนไม่หลับหรือแม่สาวน้อย"
อยู่ๆก็มีเสียงของสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา เสิ่นลี่จูลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงนอน ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง แต่กลับไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว นางเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาเสียแล้ว
"ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของข้านอกจากเจ้าหรอก โฮะๆ"
"ผู้ใดกัน หรือว่าจะเป็นผี!"
เสิ่นลี่จูอุทานยออกมาด้วยความหวาดหวั่น ใบหน้าสวยหวานยามนี้ซีดเผือดไร้สีเลือด เริ่มหายใจถี่กระชั้น
"แม่หนูคนงาม เจ้าเงยหน้าขึ้นมาสิ ข้าอยู่บนเพดานนี่ เงยหน้ามาสิจ๊ะเด็กดี"
เสียงของสตรีนางนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหูของนางไม่หยุด เสิ่นลี่จูหลับตาลง ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมองบนเพดาน ภาพที่เห็นทำเอานางถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
นั่นมันจิ้งจกนี่!
เสียงที่นางได้ยินเมื่อครู่มาจากเจ้าจิ้งจกตัวนี้หรือ
บ้าไปแล้วน่า!
เสิ่นลี่จูถึงกับขบขันตนเองในใจ ให้ตายเถอะ นางคงประสาทหลอนไปแล้วแน่ๆถึงได้คิดเรื่องบ้าบอเช่นนี้ออกมาได้ จิ้งจกประหลาดที่ไหนกันจะพูดได้
"บังอาจนัก เห็นข้าแล้วยังไม่ทำความเคารพ ข้าคือเทพธิดาจากแดนสวรรค์เชียวนะ แต่เพราะต้องมาชดใช้บาปจึงต้องมาคอยช่วยมนุษย์ตัวเล็กๆเช่นเจ้า ข้าจึงต้องมาอยู่ในร่างจิ้งจกบัดซบตัวนี้!"
เสิ่นจูถึงกับเงยหน้าขึ้นไปมองจิ้งจกตัวนั้นอีกหน ตอนนี้ในใจคลายความหวาดกลัวลงไปได้มากแล้ว แต่เมื่อได้ยินที่เทพธิดาจิ้งจกเอ่ยออกมานางก็ถึงกับย่นหัวคิ้ว
"เป็นถึงเทพธิดาแต่มาอาศัยในร่างของจิ้งจก น่าเวทนาดีนี่ แต่ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้มีเพื่อนคุยแก้เหงา ไหนๆก็เจอแต่เรื่องแย่ๆ เจอเรื่องประหลาดอีกมันจะสักเท่าไหร่กันเชียว"
"สามหาว ข้าแค่มาอยู่ในร่างนี้เพียงชั่วคราวเพื่อคอยช่วยเหลือเจ้าให้สมหวังกับเนื้อคู่ เมื่อเจ้าสมหวังแล้วข้าก็จะไป เหอะ"
เนื้อคู่หรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน
เสิ่นลี่จูสับสนมึนงงไปหมดแล้ว
"ที่ท่านบอกว่ามาเพื่อช่วยให้ข้าสมหวังกับเนื้อคู่ เนื้อคู่ของข้าคือใครกัน"
"ก็ฮ่องเต้รูปงามผู้นั้นอย่างไรเล่าคือเนื้อคู่ของเจ้า"
เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นึกอยากจะเขวี้ยงหมอนใส่เทพธิดาจิ้งจกนั่นสักหนเพื่อระบายอารมณ์ เนื้อคู่มารดามันสิ นางไม่เอาด้วยคนหรอก
"ข้าจะออกจากนิยายเล่มนี้ได้อย่างไร"
เสิ่นลี่จูไม่สนใจเรื่องเนื้อคู่เนื้องอกอะไรนั่น นางกลับเปลี่ยนเรื่องมาถามว่าจะออกจากนิยายได้อย่างไรแทน เทพธิดาจิ้งจกกลอกตาไปมาพลางส่ายหางไปทางซ้ายทีขวาที ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ความจริงก็มีอยู่สองวิธี"
"วิธีใด"
"วิธีแรกเจ้าจะต้องมีลูกกับเนื้อคู่ของเจ้า จึงจะสามารถกลับไปได้"
เสิ่นลี่จูถึงกับสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มอยู่ มีลูกกับเจิ้งจิ่งเหออย่างนั้นหรือ บัดซบสิ้นดี แม้แต่ทำดีกับนางเขายังไม่ทำ ตัดเรื่องมีลูกกับเขาทิ้งไปได้เลย ก่อนจะมีลูกช่วยทางเข้าใกล้เขาให้ได้ก่อนเถอะ
"เช่นนั้นก็ปล่อยข้าตามยถากรรมเถอะ ไม่ต้องมาช่วยข้า ข้าจะนอนแล้ว"
"นี่ๆ แม่นางน้อย เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้สิ ข้าต้องช่วยให้เจ้าสมหวังสิ เช่นนั้นข้าก็จะออกจากร่างจิ้งจกนี่ไม่ได้ เพราะข้าและเจ้ามีเศษกรรมพันผูก แต่เอาเถอะ รอให้เจ้าอารมณ์เย็นลงข้าจะบอกอีกวิธีหนึ่งกับเจ้าก็แล้วกัน เจ้านอนก่อนเถอะ"
เสิ่นลี่จูไม่สนใจเทพธิดาจิ้งจกเส็งเครงนั่นอีก นางพยายามข่มตาหลับจนถึงรุ่งเช้า เมื่อตื่นมาก็ล้างหน้าล้างตายังไม่ทันจะได้กินมื้อเช้า ก็มีนางนางกำนัลมาแจ้งว่าเจิ้งจิ่งเหอกำลังจะเสด็จมาที่นี่
เสิ่นลี่จูถึงกับกลอกตาไปมา เพิ่งจะเช้าก็เสนอหน้ามาแล้ว เขาคิดจะหาเรื่องนางไม่เว้นเวันเลยหรือไรกันนะ
แม้ปากจะก่นด่า แต่อย่างไรย่อมต้องออกไปทำการต้อนรับ เสิ่นลี่จูยิ้มแย้มให้เขาอย่างอ่อนโยน เจิ้งจิ่งเหอที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะอย่างดูแคลน
"รอยยิ้มของเจ้ามันช่างน่าเกียจเสียจริง เหมือนผีที่เพิ่งผุดขึ้นมาจากหลุมอย่างไรอย่างนั้น"
เสิ่นลี่จูยังคงยิ้มต่อไป ทั้งที่ในใจก่นด่าเขาไม่หยุด
ปากคอเราะร้ายนัก!
เจิ้งจิ่งเหอยกมือขึ้น ก่อนจะสั่งให้กงกงนำอาการเข้ามา เสิ่นลี่จูมองอาหารพวกนั้นก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น อาหารอันโอชะน่าตาหน้ากินวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะไปหมด นี่เขาคิดจะทำสิ่งใดกัน
เมื่ออาหารถูกนำมาวางจนครบแล้ว เจิ้งจิ่งเหอก็สั่งให้กงกงนำตะเกียบมาให้นางคู่หนึ่ง เสิ่นลี่จูรับตะเกียบมาอย่างงงงวยพลางเอ่ยถามด้วยความฉงนสนเท่ห์
"ฝ่าบาทจะให้หม่อมมันทำสิ่งใดหรือเพคะ"
เจิ้งจิ่งเหอยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ยตอบนางอย่างเย็นชา
"นี่เป็นอาหารที่ข้ากินทุกวัน แต่ก่อนที่ข้าจะกิน จะต้องมีคนชิมมันเสียก่อน เผื่อว่ามันมีพิษจะได้ตายก่อนข้า วันนี้คนทำหน้าที่นี้ล้มป่วยกระทันหันไม่่สามารถปฎิบัติหน้าที่ได้ ข้าจึงให้เจ้าทำงานนี้แทนเขาหนึ่งวัน ที่ข้าลงทุนลงแรงมาที่นี่เพราะว่าเกิดเจ้าตายขึ้นมา ข้าไม่อยากให้เลือดของเจ้าเปรอะเปื้อนในตำหนักของข้า กินซะ!"
เสิ่นลี่จูมองเจิ้งจิ่งเหออย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ผู้ชายคนนี้มันจะเกินไปแล้ว ถึงกับจะให้นางตายแทนเขา ใช้ได้ที่ไหนกัน
เมื่อเห็นว่าเสิ่นลี่จูไม่ยอมกินอาหารซ้ำยังจ้องเขาเขม็ง ชายหนุ่มจึงหรี่ตามองนาง
"ทำไม ไหนเจ้าบอกว่ารักข้ามากมิใช่หรือ"
"ก่อนหน้านี้หม่อมฉันตาบอดตาถั่ว เห็นผิดเป็นชอบเพคะ"
"นี่เจ้า! ปากคอเราะรายใช้ได้เลยนี่ กิน เสียหากเจ้าไม่กินวันนี้นางกำนัลในตำหนักเจ้าจะต้องถูกโบยจนตาย!"
เสิ่นลี่จูจ้องเจิ้งจิ่งเหอเขม็ง เขาทั้งบ้าอำนาจและจิตใจวิปริตบิดเบี้ยวจนเกินจะรักษาเยียวยาเสียแล้ว
ในขนาดที่สาณการณ์ดูเหมือนจะไร้ทางออก เสิ่นลี่จูก็ได้ยินเสียงของเทพธิดาจิ้งจกเอ่ยขึ้นมา
"ในอาหารไม่มียาพิษ เขาแค่ต้องการกลั่นแกล้งให้เจ้าหวาดกลัว ยามที่เจ้าหวาดกลัวเขาจะมีความสุขมาก ตายแล้ว! กุ้งผัดใบชาหลงจิ่งน่ากินมาก จูจูน้อย เจ้ากินแทนข้าทีสิ เร็วเข้า!"
เสิ่นลี่จูเหลือบตามองไปมองเทพธิดาจิ้งจกซึ่งตอนนี้เกาะอยู่ตรงขอบประตูคราหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
เหอะ ที่แท้ก็คิดจะกลั่นแกล้งนางนี่เอง
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงจัดการใช่ตะเกียบคีบอาหารตรงหน้าขึ้นมาชิมคำแล้วคำเล่า
รสชาติดี!
เจิ้งจิ่งเหอเห็นว่าเสิ่นลี่จูดูแปลกประหลาดไปจากทุกวัน นอกจากจะไม่เกรงกลัวเขาแล้วนางยังกินอาหารอย่างไม่หวาดหวั่นจนเขาเริ่มหงุดหงิดจึงแย่งตะเกียบมาจากมือของนางก่อนจะปามันทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี
"บัดซบ ตละกละมูมมามเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ช่างน่ารังเกียจเสียจริง"
"ก็ฝ่าบาทบอกให้หม่อมฉันกิน หม่อมฉันก็กินสิเพคะ ตายแล้ว อร่อยมาก ขาหมูจานนั้นน่ะหม่อมฉันยังไม่ได้ชิมเลย ตะเกียบไม่มีแล้ว ขอใช้มือนะเพคะ"
เจิ่งจิ่งเหอ"......"
