บทที่ 2 สนมที่ไม่โปรดปราณ
เสิ่นลี่จูพยายามใช้ความคิดว่าเหตุใดตนเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จนกระทั่งเธอเริ่มรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ภาพต่างๆของเจ้าของร่างเดิมพลันปรากฏชัดเจนภาพแล้วภาพเล่า
"ฮือ ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันกลัวแล้ว"
"กลัวหรือ เจ้าต้องมารับกรรมแทนพี่สาวเจ้า เป็นเช่นไร เจ้ารักข้ามากไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่ยอมทำตามใจข้าเล่า หากเจ้าไม่ทำตามใจข้า ข้าจะโบยเจ้าจนตาย แล้วลากไปโยนทิ้งที่นอกวังหลวง"
"ฮือ ไม่นะเพคะ หม่อมฉันไม่ใช่เสิ่นอ้ายเยว่เสียหน่อย พระองค์จะเอาความแค้นมาลงที่หม่อมฉันเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ"
"เจ้ามีสายเลือดเดียวกับนาง อีกอย่าง เจ้าเองก็เคยกลั่นแกล้งนางสารพัด อ้อ ข้าเดาได้แล้ว เจ้าคงรู้เห็นเป็นใจกับนางสินะ เจ้ารู้เห็นเรื่องที่นางหักหลังข้าใช่หรือไม่ สารเลวทั้งพี่ทั้งน้อง!"
ภาพที่เจ้าของร่างเดิมถูกฮ่องเต้เจิ้งจิ่งเหอทารุณกรรมจิตใจฉายชัดเข้ามาในมโนสำนึกของเสิ่นลี่จูคนใหม่ไม่หยุดยั้ง จนนางถึงกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดพลางยกมือทุบศีรษะของตนพร้อมกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
"โอย ปวดหัวเหลือเกิน ปวดหัวมาก อ๊า"
อดทนอยู่นานในที่สุดอาการปวดหัวก็ทุเลาเบาบางลง เสิ่นลี่จูหายใจเหนื่อยหอบ ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าตนเองได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของเสิ่นลี่จู นางร้ายในเรื่องที่กลั่นแกล้งพี่สาวของตน เมื่อพี่สาวตายกลับไม่ยอมช่วยสืบหาความจริงทั้งยังสาแก่ใจ สุดท้ายแล้วอาจต้องพบจุดจบที่น่าอนาท และอาจจะต้องตายอยู่ในตำหนักเย็นไร้ผู้คนเหลียวแล
เสิ่นลี่จูแทบกุมขมับ เธอด่าตัวละครแทบตาย สุดท้ายตนเองกลับต้องมาอยู่ในร่างของเสิ่นลี่จูนางร้ายใจบาปผู้นี้เสียเอง ที่สำคัญยังต้องมารองรับอารมณ์ของเจิ้งจิ่งเหออีกด้วย
บัดซบเกินจะบรรยาย เป็นคนอ่านนิยายอยู่ดีดีกลับกลายเป็นผู้ประสบภัยเสียอย่างนั้น
ด้านเจิ้งจิ่งเหอที่เห็นท่าทางเดีี๋ยวตกใจเดี๋ยวหมดอาลัยตายอยากของเสิ่นลี่จูเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ในใจนึกดูแคลนนางเป็นอย่างมาก สตรีนางนี้ต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ท่าทางของนางเหมือกับคนไม่เต็มเต็งเสียอย่างนั้น
แต่ช่างเถิด นางจะมีสภาพเช่นไรเขาไม่สน หน้าที่ของนางคือต้องมารับกรรมแทนที่พี่สาว!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเดินเข้าไปกระชาก แขนของเสิ่นลี่จูให้ลุกขึ้นยืน เสิ่นลี่จูยังไม่ทันตั้งตัวจึงซวนเซล้มเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แต่เจิ้งจิ่งเหอกลับเบี่ยงกายหลบ จนนางล้มลงไปที่พื้นสภาพน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
"อย่าคิดมาแตะต้องตัวข้า คนเช่นเจ้ามันไม่คู่ควร"
เสิ่นลี่จูถึงกับซูดปาก คนบัดซบนี่มันจะเกินไปแล้วนะ ไม่มีความเมตตาปรานีเลยแม้แต่น้อย
เสิ่นลี่จูพยายามลุกขึ้นยืน ก่อนจะมองหน้าของเจิ้งจิ่งเหอให้ชัดๆ ตอนที่อ่านนิยายเธอยังจินตนาการใบหน้าของเขาไม่ออก เมื่อได้มาเห็นเต็มสองตาก็ถึงกับตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาหล่อเหลามากจริงๆ รูปงามเสียจนนางไม่อาจละสายตาได้
จากตรงนี้สามารถมองเห็นคันฉ่องทองเหลืองที่อยู่ด้านหลังของเจิ้งจิ่งเหอได้ชัดเจน ทำให้เสิ่นลี่จูสามารถมองเห็นใบหน้าของตนเองในคันฉ่องได้อย่างชัดเจน เพราะว่าสตรีในคันฉ่องมีใบหน้าเหมือนางราวกับฝาแฝด
นี่เรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย มันจะอเมซิ่งเกินไปแล้ว
เสิ่นลี่จูเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเพราะก่อนหน้านี้เจ้าของเดิมล้มป่วยทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงมากเท่าไหร่นัก สิ่งแรกที่นางต้องทำคือนางจะต้องพักรักษาตัวให้หายดีและเตรียมรับมือกับเจิ้งจิ่งเหอ
เจิ้งจิ่งเหอส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะเอ่ยกับเสิ่นลี่จูอย่างไม่พอใจ
"วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักวัน ดูจากสภาพเจ้าแล้วข้าคงเล่นไม่สนุก แต่เจ้าอย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบเลย"
เอ่ยจบเขาก็สะบัดชายเสื้อและเดินจากไปทันที
"ฮือ พระสนม น่ากลัวยิ่งนักเพคะ หากไม่หาทางหนี พระองค์จะต้องไม่รอดจากเงื้อมมือของฝ่าบาทแน่นอนเพคะ"
เมี่ยวเถียนสาวใช้ข้างกายเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น เสิ่นลี่จูหันไปมองสาวใช้ของตน นางรับรู้ได้จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นไรและใครเป็นใครบ้าง จึงได้เอ่ยถามอะไรเมี่ยวเถียนให้มากความ
ยามนี้นางเข้าวังหลวงมาในฐานะกุ้ยเหริน แม้จะเป็นตำแหน่งนางสนมแต่กลับไม่ได้สูงส่งอันใดมากนัก เรื่องนี้เสิ่นลี่จูไม่สนใจ ตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำคือหาทางรับมือกับเจิ้งจิ่งเหอและคิดหาวิธีออกไปจากนิยายเล่มนี้โดยเร็วที่สุด
ด้านเมี่ยวเถียนที่เห็นว่าเจ้านายฟื้นแล้ว จึงรีบไปที่ห้องครัวหลวงสั่งให้คนทำอาหารมาให้เสิ่นลี่จู เมื่ออาหารมาถึงเสิ่นลี่จูก็ถึงกับก่นด่าเจิ้งจิ่งเหอในใจอีกหนึ่งคำรบ
อาหารตรงหน้านางนอกจากโจ๊กที่ใสเหมือนตาแมวแล้ว ยังมีผัดผักกาดและกวางตุ้งผัดน้ำมันอย่างละจาน ไม่มีเนื้อสัตว์เลยแม้แต่น้อย
"เมี่ยวเถียน นี่อาหารพระสนมเหรอ ให้ตายเถอะ นางกำนัลในวังหลวงยังกินดีอยู่ดีกว่าข้าอีกกระมัง"
เมี่ยวเถียนเม้มริมฝีปากแน่น พลางเอ่ยตอบ
"ฝ่าบาทตรัสว่าช่วงนี้ต้องปรับปรุงเรื่องงบประมาณการใช้จ่ายในวังหลวง ทำให้อาหารบางอย่างต้องลดลงโดยเฉพาะเนื้อสัตว์เพคะ"
"ลดงบประมาณกับผีน่ะสิ เห็นทีคงงดแค่ที่ตำหนักข้าเพียงที่เดียว บัดซบจริงๆ"
"พระสนม อย่าได้เอ่ยวาจาเช่นนี้นะเพคะ"
เมี่ยวเถียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนแทบจะเป็นลม ตั้งแต่เจ้านายของนางฟื้นขึ้นมาก็เอ่ยวาจาไม่น่าฟัง อีกทังยังดูแปลกประหลาดกว่าแต่ก่อน ที่สำคัญยังไม่เกรงกลัวฮ่องเต้อีกด้วย
เสิ่นลี่จูพยายามระงับสติอารมณ์ นางรีบกินอาหารจนหมด อย่างไรย่อมต้องกินเพื่อให้มีเรี่ยวแรง
"เมี่ยวเถียน ก่อนหน้าที่ข้าจะเข้าวัง ทางบ้านคงมอบเงินทองมากมายติดตัวข้ามาด้วยกระมัง เขาเรียกอะไรนะ อ้อ สินเดิม"
"เพคะ แต่ว่าไม่นานมานี้หลังจากพระสนมล้มป่วย นางกำนัลก็มีใจเหิมเกริม เพราะพระสนมไม่เป็นที่โปรดปราณ ซ้ำฝ่าบาทยังให้พวกนางกลั่นแกล้งพระองค์ได้ตามใจชอบ พวกนางจึงแอบยักยอกสินเดิมของพระองค์ไปจนหมด ตอนนี้เหลือของมีค่าอยู่ไม่มาก บ่าวเองก็ไม่กล้าปากมาก บ่าวกลัวเพคะ จะหาทางแจ้งจวนตระกูลเสิ่นก็ไม่ได้ ฮือ"
เสิ่นลี่จูที่ได้ฟังก็ขมวดคิ้วมุ่น ไม่คิดว่านางกำนัลพวกนั้นจะเหิมเกริมได้ถึงขนาดนี้ นางอ่านนิยายมาหลายเล่ม ล้วนเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงเรื่องนี้ เมื่อใดที่นางไร้อำนาจย่อมถูกกลั่นแกล้งเป็นเรื่องธรรมดา
เสิ่นลี่จูส่งเสียงเหอะ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเมี่ยวเถียน
"เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่านางกำนัลคนใดเอาของของข้าไป"
"เพคะ บ่าวจำหน้าพวกนางได้"
"อีกเดี๋ยวเจ้าจงไปเรียกพวกนางมา!"
“เรียกมาทำไมกันเพคะ"
"เรียกพวกนางมารับทราบข้อกล่าวหาน่ะสิวันนี้ใครมันไม่คืนของของข้า ข้าจะให้มันอยู่ไม่สู้ตายเลยคอยดู!"
