2.หวนคืน (1)
ความเย็นที่ปะทะตรงแก้มเนียน ทำให้เจ้าของร่างสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา พลันเห็นสาวใช้คนสนิทกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้ตนอย่างทะนุถนอม
“อ๊ะ คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“เหตุใดเรียกข้าเช่นนั้น” น้ำเสียงอ่อนแรงเอื้อนเอ่ยด้วยความสงสัย ตั้งแต่ที่นางออกเรือนไป มี่มี่ก็เรียกขานนางว่าฮูหยินมาโดยตลอด
“ค่อยๆ เจ้าค่ะ บ่าวช่วยพยุงนั่งนะเจ้าคะ”
“ว่าอย่างไร เหตุใดเรียกข้าว่าคุณหนู แล้วนี่ผู้ใดพาข้ากลับเรือนหรือ” ตากลมที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เหลือบมองไปทั่วห้อง ก็พบว่าตนเองอยู่ที่เรือนสกุลสวี
“เอ่อ คุณหนูมิได้ไปที่ใดนะเจ้าคะ หลัง- หลังจากที่ท่านชายมาขอถอนหมั้น คุณหนูก็เอาแต่ร้องไห้ เก็บตัวอยู่ในห้องเช่นนี้มาหลายวัน จนไข้ขึ้นเจ้าค่ะ” มี่มี่ว่าเสียงอ่อย ในใจไม่อยากจะซ้ำเติมนาย แต่ในเมื่อถูกถามก็ต้องตอบไปตามตรง
“ข้างงไปหมดแล้วมี่มี่ ข้ามิได้แท้งบุตร แล้วถูกพามาส่งที่เรือนสกุลสวีหรือ”
“คุณหนู! แท้งบุตรอันใดกันเจ้าคะ คุณหนูยังมิได้ออกเรือน จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร อย่าพูดเรื่องนี้ให้ผู้อื่นได้ยินนะเจ้าคะ” มิเช่นนั้นผู้คนคงเอาไปเล่าลือ จนเสื่อมเสียมาถึงคุณหนูของนาง
“…” มือเล็กยกขึ้นกุมขมับ นี่นางกำลังอยู่ในฝัน หรืออย่างไรกัน
“หากคุณหนูปวดหัวก็พักก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้ยังยามโฉ่ว (01:00 - 02:59 น.)”
“อืม เจ้าเองก็นอนพักบ้างเถิด” ลี่อิ่งส่งยิ้มเศร้าไปให้สาวใช้ ก่อนล้มตัวนอนด้วยความเหนื่อยล้า คิดว่าวันพรุ่งนางคงตื่นจากความฝันนี้กระมัง
แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น สวีลี่อิ่งก็ยังตื่นมาในเรือนสกุลสวี บ่าวทุกคนในเรือนก็เรียกขานนางว่าคุณหนู จนเจ้าตัวสับสนมึนงงกับเรื่องราวที่เป็นอยู่
กระทั่งได้พูดคุยกับบิดามารดา ถึงได้รู้ว่าสวรรค์เมตตาให้นางย้อนกลับมาในตอนที่เจี้ยนอี้โจว มาขอถอนหมั้นเพื่อแต่งสวีเสี่ยวปิงแทน
“ลูกพ่ออย่าได้เศร้าไปเลย เจ้าอยากได้สิ่งใดพ่อจะหามาให้ ขอเพียงอย่าได้กักขังตนเองอยู่ในห้องเช่นนี้”
“ดูที ซูบผอมไปมากนัก วันนี้แม่ทำของที่เจ้าชอบให้ดีหรือไม่” ราชครูสวีและฮูหยินเอกผลัดกันพูดปลอบบุตรสาว
“นั่นสินะ พี่ใหญ่ของเจ้าก็กลับมาจากต่างเมืองวันนี้ เราฉลองกันเสียหน่อยดีหรือไม่ หรือเราจะออกไปทานข้าวด้านนอกกันสี่คน”
“ข้ายังไม่อยากออกไปที่ใดเจ้าค่ะท่านพ่อ” ได้ยินบุตรสาวว่า สองสามีภรรยาก็หันมองหน้ากันอย่างจนใจ
“…”
“เราเลี้ยงฉลองให้พี่ใหญ่ที่เรือนเถิด อีกอย่างฝีมือทำอาหารของท่านแม่ดีกว่าเหลาอาหารชื่อดังพวกนั้นเสียอีก”
“ใช่ๆ อิ่งเอ๋อร์ของพ่อพูดไม่ผิดเลยสักนิด ฮูหยินทำกับแกล้มให้ข้าสักสองสามอย่างเถิด ข้าจะร่ำสุรากับอาหัวเสียหน่อย”
“จิ๊ ท่านราชครู หมอสั่งไม่ให้ดื่มมากมิใช่หรือ” ฟ่านหลันแกล้งดึงเคราสามีเบาๆ
“เจ้าก็อย่าได้บอกเรื่องนี้กับท่านหมอ แค่จอกเดียว ข้าขอแค่จอกเดียว” เหตุการณ์ออดอ้อนกันของพ่อแม่ ทำให้ลี่อิ่งคลี่ยิ้มออกมาได้
นางเองก็คาดหวังให้มีคู่ชีวิตเช่นนี้ เพราะแม้ท่านพ่อจะมีอนุถึงสองคน แต่ก็ไม่เคยยกพวกนางขึ้นมาเทียบท่านแม่ ทั้งยังใส่ใจความรู้สึกของท่านแม่ที่สุด
ครอบครัวสกุลสวีไม่ถือเป็นครอบครัวใหญ่ ท่านราชครูมีภรรยาสามคน ฮูหยินเอกฟ่านหลัน อนุเหลียงอี้ถง และอนุจูเหม่ยหลิงที่พึ่งแต่งเข้ามา
ส่วนบุตรก็มีเพียงสี่คนเท่านั้น คุณชายใหญ่สวีต้าหัว คุณหนูน้อยสวีลี่อิ่ง เกิดจากฮูหยินเอกของเรือน คุณหนูใหญ่สวีเสี่ยวปิงเกิดจากอนุเหลียง และอนุจูก็พึ่งคลอดคุณชายน้อยสวีต้าลู่ ได้เพียงสี่เดือนเท่านั้น
“อิ่งเอ๋อร์ดูบิดาเจ้าเถิด ไม่ดูสังขารตนเองเสียเลย”
“สุรา หากดื่มน้อยก็เป็นยานะเจ้าคะท่านแม่” ลี่อิ่งอมยิ้ม พลางพูดเข้าข้างบิดา
“ฮ่าๆ จริงอย่างที่อิ่งเอ๋อร์ว่า” ทั้งที่ท่านราชครูและฮูหยินตั้งใจพูดเล่นกันสนุกสนาน แต่กลับสังเกตเห็นว่าลูกสาวมิได้ยิ้มสดใสเหมือนเมื่อก่อน แววตาของนางยังดูหม่นจนมองออก
ท่านชายคงมีน้ำหนักในใจอิ่งเอ๋อร์มากทีเดียว
