ตอนที่ 9 : ไม่อาจเชื่อใจ
ตอนที่
[9]
ไม่อาจเชื่อใจ
หลังจากที่เขาออกไปนางก็นอนไม่หลับทั้งคืน ไม่รู้ว่าเขาเชื่อในเรื่องที่นางพูดหรือไม่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการกระทำของเขาที่มาขอนอนกับนางเมื่อวานนั่นก็เพื่อคลี่คลายเรื่องที่เขาสงสัยนาง แต่นางบอกความจริงไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อหรือว่าจะทำอย่างไรต่อ
ด้านเหรินฮุนในเช้าวันนี้เขาต้องรีบเร่งเข้าวังหลวงไป นั่นก็เพราะได้รู้ข้อมูลบางอย่างที่เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย คนที่เขาต้องมาหารือด้วยก็คือบิดาของเขา แม่ทัพใหญ่เหรินฮั่ว ผู้ที่ยามนี้คือผู้ที่มีอำนาจทางทหารในการดูแลวังหลวงมากที่สุดและเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายองค์ฮ่องเต้
“ท่านพ่อจะบอกว่าองค์ชายสี่ต้องการกำลังทหารของข้าเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว เจ้าต้องระมัดระวัง เราต้องทำตัวเช่นไรเจ้าย่อมรู้ดี”
ที่องค์ชายสี่ต้องการกองกำลังของเขานั่นก็เพื่อจะได้ง่ายต่อการกระทำบางอย่างซึ่งเดาได้ไม่ยากเลยว่าเรื่องนี้
ก่อนจะนึกถึงเรื่องอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน องค์ชายสี่ก็เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความสงสัยว่าจะเอี่ยวกับเรื่องนี้
และยิ่งช่วงนี้อยู่ในช่วงที่กำลังหาผู้ที่เหมาะสมสำหรับการเป็นรัชทายาท
เพราะเช่นนี้นางจึงพูดเช่นนั้นกับข้าหรือ เหรินฮุนหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืน สายตาเต็มไปด้วยความสับสน
ที่แท้ที่นางเปลี่ยนไป นั่นก็เพราะทำให้เขาตายใจและจะได้เข้าร่วมกับองค์ชายสี่เหวินหยุนเทา บุรุษที่นางพึงใจ จากเรื่องนั้นเรื่องก็จะได้เข้าทางพวกเขาใช่หรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นจริง สายตาของบุตรสาวยามที่มีความสุขเมื่อได้อยู่กับมารดาก็ปรากฏขึ้น
กู้ซูฉิน อย่าได้คิดมาทำร้ายบุตรสาวของข้า!
วันเดียวกันนั้นกู้ซูฉินที่ไม่ได้รู้อันใดก็ได้พาบุตรสาวออกจวนไปเดินตลาดด้วยกันเป็นครั้งแรก ด้วยการกระทำที่เปลี่ยนไปของนางก็ทำให้แม่สามีนั้นวางใจไม่น้อยจึงได้ปล่อยให้หลานสาวอันเป็นที่รักออกมากับนางเช่นนั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังให้จางตานฉงออกมาเพื่อดูความเรียบร้อยด้วย วันนี้นางตั้งใจพาเด็กน้อยไปซื้ออาภรณ์ใหม่ พร้อมซื้อของสำหรับไปทำขนมด้วย
จู่ ๆ นางก็อยากกินลูกชุบหวังว่าจะมีวัตถุดิบในการทำนะ
ระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังเลือกซื้อของอย่างเพลิดเพลิน จู่ ๆ ไม่ไกลออกไปก็ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอกันวันนี้ขึ้น
จ้าวจิ้งฮวา
หรือก็คืออดีตสหายของกู้ซูฉิน ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ชีวิตของกู้ซูฉินพลิกผันจนไม่อาจหวนกลับได้ จ้าวจิ้งฮวาเมื่อเห็นว่าอดีตสหายกำลังแสดงท่าทางมีความสุข ข้างกันนั้นคือเด็กน้อยที่น่ารักผู้หนึ่ง ในใจก็รู้สึกไม่ชอบใจ
กู้ซูฉินจะมีความสุขได้อย่างไร!
คิดแล้วจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ในมือก็คิดหยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อเพื่อกระทำบางอย่าง
ของสิ่งนี้สามารถที่จะกระตุ้นความร้าจกาจบางอย่างที่อยู่ในตัวของกู้ซูฉินได้
แม้ในใจเต็มไปด้วยแผนร้าย แต่สีหน้านั้นกลับดูอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด
“ฉินเออร์ ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก”
คิดแล้วก็กล่าวทักทาย ไม่พอยังเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัวพลางลอบสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย
ทว่า…กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ด้านกู้ซูฉินเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบผลักออกทันที
สายตานั้นเต็มไปด้วยความอันตราย จางจิ้งฮวาเห็นเช่นนั้นก็ชะงักงันไปเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเข้าแผนการของตนเอง
“ข้าขอโทษนะฉินเออร์ที่ไม่ได้ออกมาพบเจ้า นั่นก็เพราะเจ้าเอาแต่เจ้าชอบไปแบบไม่ปกติเช่นนั้น องค์ชายแค่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เคยลืมความเป็นเพื่อนของเราเลยนะแต่ต่อไปหากเจ้าไม่ทำเช่นเดิมอีก เจ้าก็สามารถไปหาข้าที่ตำหนักได้”
สีหน้ายามนี้ของจ้าวจิ้งฮวาราวกับพระโพธิสัตว์ก็ไม่ปาน ทว่าการที่นางยิ่งกล่าวแล้วเพิ่มความดังขึ้นเรื่อย ๆ นั่นไม่เพราะต้องการให้คนที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินหรือ ว่ากู้ซูฉินนั้นกระทำตัวไม่เหมาะสมเพียงใด
นางจิ้งจอก!!
มุมปากของกู้ซูฉินกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว
“หม่อมฉันคงไม่มีเวลาไปหาพระชายาหรอกเพคะ แค่ใช้เวลากับบุตรสาวที่น่ารักก็ไม่มีเวลาไปสนใจผู้ใดแล้ว อีกอย่างหม่อมฉันคงไม่อาจเอื้อมไปเป็นสหายกับพระชายาผู้สูงส่งหรอกเพคะ” กล่าวจบก็จับมือบุตรสาวแล้วจากไปทันทีไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวอันใดอีก
หัวคิ้วของจ้าวจิ้งฮวาขมวดเข้าหากันมองร่างของอดีตสหายเดินจากไป ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยเหตุใดไม่เกิดอันใดขึ้นกับกู้ซูฉิน นางหรืออุตส่าห์ว่าจะทำให้นังนั่นเผยความร้ายกาจออกมาต่อหน้าผู้คน แต่กลับไม่มีอันใดเกิดขึ้นเสียได้ นังฝู่อ้ายก็ขาดการติดต่อไป
คิดแล้วเมื่อไม่มีอันใดได้ดังใจก็ได้แต่หมุนกายจากไปด้วยความหงุดหงิด
เมื่อกู้ซูฉินและเหรินซ่งอี้รวมถึงผู้ติดตามเดินออกมาจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่ก็ต้องพบกับความแปลกใจ เมื่อเห็นว่าไม่ไกลกันนั้นคือร่างของผู้เป็นสามีนั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่ท่าทางองอาจในชุดรองแม่ทัพกองทัพหลวง
“ข้ามารับ” สายตาของเขาเลื่อนไปยังรถม้าที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งเป็นคนละคันกับที่พวกนางนั่งมา
