บท
ตั้งค่า

บทที่5 ไร้ญาติขาดมิตร

อวี้หลิงหรงก้มลงกราบเบื้องหน้าภาพเหมือนของมารดา กลางห้องโถงที่เต็มไปด้วยภาพวาดของบรรพบุรุษสกุลอวี้ กลิ่นธูปหอมจาง ๆ ลอยคลุ้งในอากาศสร้างบรรยากาศเงียบสงัดและขรึมขลัง

นางลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่งามทอดมองภาพผู้ให้กำเนิดร่างกายนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืนแล้วย่างเท้าออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ

เวลาสองเดือนในร่างนี้ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว และอีกเพียงสามวันนางก็ต้องออกเดินทางไปยังแคว้นฉินแล้ว ทว่าในขณะที่ก้าวผ่านธรณีประตู สายตากลับสะดุดเข้ากับร่างของสามพี่น้องสกุลอวี้ที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้า

ดวงตาของอวี้หลิงหรงว่างเปล่า นางไม่มีความจำเป็นต้องทักทายพวกเขา หรือต่อให้ทำเช่นนั้น ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างอะไรจากเดิม เพราะความทรงจำที่นางเห็น พวกเขาเพียงเมินเฉย หรือไม่ก็ส่งสายตาเย็นชาให้กับเจ้าของร่างนี้เท่านั้น

นางจึงเลือกที่จะเดินผ่านพวกเขาไปอย่างไม่ไยดี แต่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เสียงเรียกที่เต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดก็ดังขึ้น

"ช้าก่อน"

อวี้หลิงหรงชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะก้าวเดินต่อโดยไม่สนใจคำพูดของอวี้หยุน พี่ชายคนโตของนาง

"นี่! ข้าคุยด้วย เจ้าหูหนวกหรือไง!"

ครั้งนี้อวี้หยุนไม่เพียงแต่พูด เขายังเอื้อมมือหมายจะคว้าแขนนางเอาไว้ ทว่าก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสโดนนาง อวี้หลิงหรงกลับไหวตัวทันและเบี่ยงกายหลบได้อย่างง่ายดาย

อวี้หยุนมองฝ่ามือของตนเองอย่างประหลาดใจ ทั้งที่นางไม่ได้หันกลับมามอง แต่กลับสามารถหลบสัมผัสของเขาได้ราวกับตาเห็น

"ท่านมีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือเจ้าคะ" อวี้หลิงหรงเอ่ยถามเสียงเรียบขณะหันกลับไปสบตากับอีกฝ่าย

อวี้หยุนจ้องนางเขม็ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจ "เจ้าถือตัวนักหรืออย่างไร คิดว่าอีกไม่กี่วันจะได้แต่งออกไปจากจวนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทักทายพวกข้าแล้วใช่หรือไม่"

อวี้หลิงหรงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน

"ข้าว่าพวกเราเลิกฝืนใจทักทายกันเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสีย อีกสามวันข้างหน้าพวกเราก็ไม่ต้องเกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว"

คำพูดของนางทำให้อวี้หยุนชะงักไป ดวงตาคู่นั้นฉายแววไม่เชื่อสายตาตัวเอง อวี้หลิงหรงที่เขารู้จัก.. คือเด็กน้อยที่เคยวิ่งตามหลังเขาต้อย ๆ และเรียกเขาว่าท่านพี่อย่างสนิทสนม ทว่าเวลานี้นางกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าที่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา

"หรงหรง อย่างไรเสียเจ้าก็ยังเป็นน้องพวกเราอยู่ดี เจ้าเพียงแค่แต่งงานเท่านั้น อย่าทำราวกับจะตัดขาดจากครอบครัวเลย"

อวี้เหวิน ที่เงียบมานานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับต้องการให้บรรยากาศอ่อนลง ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองในใจของอวี้หลิงหรงปะทุขึ้น

"ท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์ ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ วันนี้ท่านพี่ทั้งสองเห็นข้าเป็นน้องสาวแล้วเจ้าค่ะ" เสียงของนางเย้ยหยัน กัดกร่อนหัวใจของผู้ฟัง คำว่า ‘พี่น้อง’ ที่ออกจากปากพวกเขา ทำให้นางรู้สึกขยะแขยะสิ้นดี

"อวี้หลิงหรง!! คนอย่างเจ้ามิคู่ควรเอ่ยถึงท่านแม่!" อวี้หยุนคำรามลั่น ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะ เขาชักดาบคู่ใจออกมาจากฝัก ตวัดคมดาบชี้ตรงไปยังอวี้หลิงหรง สร้างความตกตะลึงให้กับบ่าวไพร่และผู้ที่พบเห็นในจวน

อวี้หลิงหรงมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเย้ยหยัน นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว จากนั้น.. เพียงชั่วพริบตา นางก็เอื้อมมือออกไปคว้าคมดาบของเขา แล้วนำปลายดาบมาแนบไว้ที่ลำคอของตนเอง

โลหิตสีแดงสดไหลซึมจากบาดแผลบนมือและลำคอของนาง ถึงกระนั้นนางก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับถอยแม้แต่ก้าวเดียว

"ท่านเห็นหรือยังพี่รอง" นางเอ่ยพลางตวัดสายตามองอวี้เหวิน

"คอของข้าผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขา เขายังคิดจะตัด.. นับประสาอะไรกับสายเลือดที่เปราะบางเสียยิ่งกว่ากระดาษของพวกเราล่ะ"

ยามนี้มีเพียงความเงียบงันและความตึงเครียดแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ลมเย็นโชยผ่านระเบียงไม้เก่าแก่ ทำให้ผ้าม่านสีขาวที่แขวนอยู่สะบัดไหวเบา ๆ

เปลวเทียนที่จุดอยู่ภายในห้องส่องแสงวูบไหวไม่มั่นคง บ่าวไพร่ที่อยู่โดยรอบต่างถอยห่างออกไปจนสุดระยะ แผ่นหลังแนบชิดกับเสาไม้หรือกำแพงไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย

อวี้หยุนกำดาบไว้แน่น แต่ปลายคมดาบกลับสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อลำคอขาวของอวี้หลิงหรงปรากฏรอยแผลที่มีโลหิตสีแดงสดไหลซึมออกมาอย่างเชื่องช้า ภาพตรงหน้าทำให้เขาเผลอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

"อวี้หลิงหรง! เจ้าคิดจะทำอะไร!" เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธปะปนกับความสับสน ยามที่จ้องมองน้องสาวที่ยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน แววตาเคยกราดเกรี้ยวของเขากลับฉายแววลังเลโดยไม่รู้ตัว

อวี้หลิงหรงกลับมิได้ใส่ใจสายตาของเหล่าพี่ชาย นางเพียงจับคมดาบที่กรีดผ่านผิวของตนไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน

"ท่านเกลียดข้านักมิใช่หรือ โอกาสของท่านมาถึงแล้ว.. ถ้าหากท่านมิกล้า ให้ข้าช่วยขยับให้ดีหรือไม่"

ทุกถ้อยคำของนางหนักแน่นและเย็นชา ราวกับเข็มที่ทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจของผู้ฟัง ดวงตาสีดำขลับที่เคยมีแววสดใส บัดนี้กลับมืดมน ไร้ซึ่งแววแห่งชีวิต

อวี้หยุนกัดฟันแน่น เส้นเลือดปูดขึ้นตรงขมับ "เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับพี่ได้อย่างไร!"

อวี้หลิงหรงหัวเราะเบา ๆ แต่มิใช่เสียงหัวเราะที่อบอุ่น ทว่าเป็นเสียงที่บาดลึก

"พี่ชาย? ข้าจำไม่เห็นได้ว่าเคยมี"

เสียงรอบด้านเงียบสงัดลง ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของผู้ใด มีเพียงเสียงใบไม้ที่ปลิดปลิวจากต้นหล่นลงสู่พื้นยังดังก้องอยู่ในความเงียบงัน

ทันใดนั้นเอง เสียงหวานของอวี้ซูเม่ยก็ดังขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด "พอได้แล้วพี่สาม เหตุใดท่านถึงชอบทำให้ผู้อื่นลำบากใจอยู่เรื่อย"

อวี้หลิงหรงหันไปมองหญิงสาวที่เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยสายตาเย็นชา มือของนางยังคงกำแน่นที่คมดาบของอวี้หยุน แน่นเสียจนโลหิตไหลซึมลงมาตามร่องนิ้ว

นางปรายตามองอวี้ซูเม่ยอย่างเฉยชา ก่อนจะเหยียดยิ้มบางและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอา

"สตรีดัดจริตเช่นเจ้า.. ระวังเอาไว้เถิด สักวันจะต้องตายเพราะปาก"

อวี้ซูเม่ยเม้มปากแน่นนางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังดูแคลนตน แต่ยังไม่ทันได้โต้ตอบ เสียงเรียบนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง

"เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งให้เหนื่อย อย่างไรท่านพี่ของเจ้าก็เห็นเจ้าดีที่สุดในสามโลกอยู่แล้วมิใช่หรือ?"

คำพูดของอวี้หลิงหรงประหนึ่งน้ำเย็นสาดเข้าใส่ ทำให้อวี้ซูเม่ยตัวแข็งทื่อ นางกำชายกระโปรงแน่นจนยับยูยี่ สีหน้าที่เคยมั่นใจพลันสั่นไหว แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของนางแทบหยุดเต้นก็คือคำพูดต่อมาของอวี้หลิงหรง

"อีกอย่างหนึ่งที่เจ้าลืมไป.. หากข้าต้องตายในวันนี้ คนที่ต้องไปเป็นเชลยที่แคว้นฉินในอีกสามวันข้างหน้าก็คือเจ้า"

สีหน้าของอวี้ซูเม่ยพลันซีดเผือดลงทันที ดวงตาสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น นางไม่อยากถูกส่งไปเป็นเชลยที่แคว้นฉิน! ริมฝีปากของนางสั่นระริก ทว่ากลับมิสามารถเปล่งเสียงใดออกมา

อวี้หลิงหรงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววสมเพชก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

"ชีวิตข้าน่ะมันเหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว จะตายตอนนี้หรือตอนไหน ข้าก็มิได้ทุกข์ร้อนอะไร"

อวี้ซูเม่ยรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งร่าง ความหวาดกลัวที่แท้จริงเพิ่งกัดกินหัวใจของนางในยามนี้ แม้ว่านางจะเกลียดชังอวี้หลิงหรงมากเพียงใด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางไม่อยากให้อวี้หลิงหรงตาย!

ขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าหนักแน่นพลันดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาของเขาคมกริบราวกับคมมีด น้ำเสียงเย็นชาแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจกดดันมหาศาล

"พอได้แล้ว!"

เพียงคำพูดสั้น ๆ ที่เปล่งออกมา กลับทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดยิ่งทวีความหนักอึ้ง ราวกับอากาศโดยรอบถูกกดทับด้วยพลังอำนาจที่มิอาจมองข้าม บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่รอบด้านตัวสั่นระริก ไม่มีผู้ใดกล้าขยับแม้เพียงปลายเท้า

สายตาเยียบเย็นกวาดมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว และหยุดลงที่ร่างบอบบางของอวี้หลิงหรง

นางหันมองบิดาของตนด้วยแววตาเรียบนิ่งไร้ซึ่งความหวาดกลัว มีเพียงความว่างเปล่าและความหนาวเหน็บที่ซ่อนอยู่ลึกภายใน นางคลายมือจากคมดาบอย่างเชื่องช้า

คมโลหะเย็นเฉียบเคลื่อนออกจากผิวเนื้อของนาง เลือดสีแดงไหลเป็นสายแต่นางกลับไม่แสดงความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ราวกับบาดแผลนั้นมิได้มีความหมาย

"อวี้หยุน! นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน!!!"

เสียงตวาดของอวี้เฉิงดังลั่นราวกับเสียงฟ้าผ่า ทำเอาผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นสะดุ้งเฮือก อวี้หยุนรีบเหวี่ยงดาบของตนลงสู่พื้นทันที แรงกระแทกของโลหะกับพื้นหินดังกังวานสะท้อนไปทั่ว สีหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เขาไม่เคยคิดว่าอวี้หลิงหรงจะทำเช่นนี้

"ข้าผิดเองขอรับ ท่านพ่อ นางมิได้ทำผิดอะไร" อวี้หยุนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาก้มหน้าต่ำ มิกล้าสบสายตาผู้ใด โดยเฉพาะอวี้หลิงหรง น้องสาวแท้ ๆ ของเขาเอง

"เรื่องผิดถูกเอาไว้ทีหลังเถิด ท่านพ่อ ตอนนี้เราควรเรียกหมอมารักษาแผลให้หรงหรงก่อน" เสียงของอวี้เหวินดังขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยแผลของน้องสาวด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

เสนาบดีอวี้เฉิงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วย "จริงอย่างที่เจ้าว่า ใครก็ได้ไปตามหมอมา! ส่วนเจ้า อวี้หยุน มาพบข้าที่ห้องทำงาน"

เขามองใบหน้าของอวี้หลิงหรงครู่หนึ่ง ดวงตาคมของเขาฉายแววบางอย่างที่ยากจะคาดเดา ก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งบรรยากาศที่หนักอึ้งไว้เบื้องหลัง

"หรงหรง.. เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าที่เรือน" อวี้เหวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย

เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ข่าวลือเรื่องน้องสาวของเขาพยายามปลิดชีวิตตนเองนั้น ไม่ใช่แค่การเรียกร้องความสนใจอย่างที่เขาเคยเข้าใจ เพราะสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้บอกให้เขารู้ว่า ทั้งหมดมันคือความจริง

อวี้หลิงหรงปรายตามองอวี้เหวิน ดวงตาของนางเย็นชาไร้อารมณ์ ราวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันอีกต่อไป

"ท่านมิต้องลำบากมาเป็นพี่ชายที่แสนดีเอาตอนนี้หรอก.. ข้าเลิกคาดหวังไปนานแล้ว"

น้ำเสียงของนางราบเรียบ ไม่แฝงความรู้สึกใด ทว่ากลับกรีดลึกลงไปในจิตใจของผู้ฟัง อวี้เหวินรู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจจนแน่น ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไร น้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

"ท่านไม่จำเป็นต้องตามหมอมาให้เปลืองเงินทองหรอก เพราะสำหรับคนที่ตายไปแล้ว..จะหมอที่ไหนก็มิอาจรักษาได้"

เมื่อกล่าวจบ นางค้อมศีรษะให้อวี้เหวินเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป โดยมิได้หันกลับไปมองข้างหลังอีก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel