บทที่ 1 ลู่สือม่านคือคนไร้ค่า
ทุกคนในสำนักถงซานต่างรู้กันดีว่าลู่สือม่านบุตรสาวเจ้าเมืองเทียนเหอเป็นผู้บำเพ็ญที่ไร้พลังปราณ แต่เพราะนางเป็นบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมือง นางจึงมีสิทธิพิเศษในการได้เข้ามาฝึกตนในสำนักถงซานแห่งนี้ แตกต่างจากลู่สือหลิงผู้เป็นน้องสาวที่มีพลังปราณขั้นสร้างฐานตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาในสำนักถงซานแห่งนี้แล้ว
สำนักถงซานคือสำนักศึกษาสำหรับผู้ที่ต้องการจะเสริมสร้างพลังปราณ นับเป็นสำนักศึกษาอันเก่าแก่ของบรรดาผู้บำเพ็ญ ในทุกๆ ร้อยปีผู้บำเพ็ญในสำนักแห่งนี้มักจะประสบความสำเร็จได้บรรลุเป็นเซียนประมาณหนึ่งถึงสองคน ดังนั้นสำนักถงซานจึงได้รับคำกล่าวขานว่าเป็นสำนักบำเพ็ญอันดับหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการจะฝึกบำเพ็ญเพื่อบรรลุสู่แดนเซียน
ในสำนักถงซานผู้บำเพ็ญที่พึ่งจะเข้ามาฝึกฝนและฝึกบำเพ็ญจะถูกแบ่งตามลำดับพลังปราณ พลังปราณที่สำนักถงซานจัดลำดับขั้นเอาไว้มีถึง 7 ขั้น ได้แก่
ลำดับที่1 ขั้นฝึกตน คือขั้นแรกสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานพลังปราณเลย แต่หากมีใจที่บำเพ็ญเพียรทางสำนักก็จะรับเอาไว้ ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่สำนักรับเข้ามามักจะถูกจัดอยู่ในลำดับนี้ ลู่สือม่านเองก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ขั้นฝึกตนเช่นเดียวกัน
ลำดับที่ 2 ขั้นสร้างฐาน คือขั้นที่สองสำหรับผู้ฝึกฝนที่พอจะมีพลังปราณอยู่บ้างแต่ยังไม่แข็งแกร่งพอ ลู่สือหลิงคือผู้มีพรสวรรค์ที่พอนางย่างเท้าเข้าสำนักก็ได้ข้ามลำดับขั้นฝึกตนไปอยู่ขั้นสร้างฐานแล้ว
ลำดับที่ 3 ขั้นสร้างแก่นพลังปราณ คือลำดับขั้นของผู้ฝึกตนที่มีความสามารถในการรวบรวมพลังลมปราณไปสร้างแก่นพลังที่จุดตันเถียนได้แล้ว
ลำดับที่ 4 ขั้นจินตัน คือลำดับขั้นที่สามารถสร้างเม็ดพลังทองคำในห้วงจิตได้
ลำดับที่ 5 ขั้นหยวนอิง คือขั้นปราณเซียนก่อกำเนิด ผู้บำเพ็ญที่ฝึกฝนตนจนสำเร็จส่วนใหญ่มักจะอยู่ในขั้นนี้
ลำดับที่ 6 ขั้นฮว่าเสิน คือขั้นที่พลังปราณและดวงจิตหลอมหลวมเป็นหนึ่ง ผู้ฝึกตนที่อยู่ในอันดับนี้ส่วนใหญ่มักจะได้รับการคารวะจากศิษย์ในสำนักว่าเป็นผู้อาวุโสที่บำเพ็ญเพียรจนประสบความสำเร็จแล้ว อาจารย์ในสำนักส่วนใหญ่มักจะอยู่ในลำดับขั้นฮว่าเสินนี้
ลำดับที่ 7 ขั้นฝานซู คืนสู่ความว่างเปล่าเป็นขั้นชำระล้างไขกระดูกเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเป็นเซียน
ลำดับที่ 8 ขั้นต้าเฉิง คืนสู่มหายานผู้ที่บรรลุขั้นนี้ได้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นเซียนหลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์อย่างถาวร
เมื่อสำนักถงซานจัดลำดับขั้นในสำนักตามพลังปราณเช่นนี้ลู่สือม่านที่มีชาติกำเนิดสูงส่งจึงเป็นได้แค่เพียงผู้ฝึกตนที่อยู่ในลำดับขั้นต่ำสุด เพราะในกายของนางไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่เคยเริ่มฝึกฝนพลังปราณมาก่อน ผู้อื่นที่อยู่ในลำดับขั้นเดียวกัน ยังพอจะมีพื้นฐานการฝึกฝนอีกทั้งยังมีพลังกายติดตัวมาบ้าง แต่ลู่สือม่านคนนี้กลับไม่มีสิ่งใดติดตัวมาเลย
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงได้เข้ามาอยู่ในสำนักถงซานกันเล่า” ซวีจื่ออิงผู้ฝึกตนขั้นต้นเช่นเดียวกันกับลู่สือม่านเอ่ยถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็เป็นเพราะท่านพ่อของข้าน่ะสิ เขารู้สึกเจ็บใจที่คู่หมั้นของข้าขอถอนหมั้นเพียงเพราะข้าเป็นสตรีที่ไร้พลังปราณ ท่านพ่อจึงมุ่งมั่นและตั้งใจว่าจะส่งข้ามาฝึกฝนด้วยหวังว่าข้าจะมีพลังปราณติดกายเล็กๆ น้อยๆ กลับไป ในวันข้างหน้าจะได้ไม่ถูกผู้อื่นคิดดูถูกอีก” ลู่สือม่านเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านเจ้าเมืองเทียนเหอคงจะคิดว่า การที่เจ้าเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของสำนักถงซานได้ ย่อมหมายความว่าเจ้าหาใช่คนไร้ค่าที่ไร้ซึ่งพลังปราณในสายตาของผู้อื่น ยามที่เจ้าจะหมั้นหมายใหม่อีกครั้ง ว่าที่คู่หมั้นของเจ้าจะได้ไม่คิดดูถูกเรื่องพลังปราณของเจ้าได้อีก” คำพูดของซวีจื่ออิงทำให้ลู่สือม่านพยักหน้าพลางชมเชยออกมา
“เป็นเช่นที่เจ้าเอ่ยมา ท่านพ่อของข้าไม่อยากให้ข้าถูกผู้อื่นดูถูก จึงได้ใช้เส้นสายที่พอจะมีอยู่บ้าง ฝากข้าเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักถงซานแห่งนี้” คำพูดที่เต็มไปด้วยความตรงไปตรงมาของลู่สือม่านทำให้ซวีจื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ ในทันที
“ว่าแต่เจ้าเถิด ตนเองเป็นถึงบุตรสาวของมหาราชครูซวีแล้วเหตุใดจึงได้มาอยู่ในลำดับผู้ฝึกตนขั้นต้นเช่นข้าได้” ลู่สือม่านเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
มหาราชครูซวีคือผู้ฝึกตนที่มีพลังปราณเทียบเท่าเจ้าสำนักถงซาน ลู่สือม่านเคยได้ยินข่าวลือมาว่าคนทั้งคู่อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นฮว่าเสินแล้ว จึงนับว่าทั่วทั้งแคว้นอวิ๋นเทียนแห่งนี้มหาราชครูซวีและเจ้าสำนักถงซานแห่งนี้นับเป็นอันดับหนึ่งของผู้บำเพ็ญ
พลังปราณของผู้ฝึกตนเกิดได้สองรูปแบบ รูปแบบที่หนึ่งคือเกิดจากการฝึกฝน รูปแบบที่สองก็คือมีติดกายมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนใหญ่ลูกหลานของตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนมักจะได้รับการถ่ายทอดพลังปราณมาจากผู้ให้กำเนิด อย่างเช่นลู่สืออินผู้เป็นพี่ชายร่วมมารดาและลู่สือหลิงน้องสาวต่างมารดาของลู่สือม่าน คนทั้งสองต่างก็ได้รับการถ่ายทอดพลังปราณมาจากบิดาของนาง
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจ้าเมืองเทียนเหอลู่เจาคือผู้ฝึกตนที่อยู่ในลำดับขั้นฮว่าเสิน แม้ว่าเขาจะถ่อมตนว่าเป็นฮว่าเสินขั้นต้นแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลน ดังนั้นนางในฐานะคุณหนูใหญ่จึงได้รับความคาดหวังจากผู้คนว่าจะมีพลังปราณสูงแต่กำเนิดเหมือนพี่ชายของนางลู่สืออินและน้องสาวต่างมารดาลู่สือหลิง แต่นางกลับถือกำเนิดเกิดมาดุจบุตรสาวของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของพลังปราณ
“เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดจื่ออิงจึงไม่มีพลังปราณ ข้าจะบอกให้ก็ได้ นั่นเป็นเพราะนางถือกำเนิดมาจากหญิงชาวบ้านธรรมดาอย่างไรเล่า จะเทียบเท่าพวกข้าที่เป็นบุตรสาวของภรรยาเอกที่มีชาติตระกูลของผู้บำเพ็ญเพียรได้อย่างไร”
เสียงของสตรีผู้หนึ่งทำให้ลู่สือม่านต้องหันไปมองยังทิศทางของเสียง มีสตรีสี่คนแต่งกายด้วยชุดสีม่วงซึ่งเป็นสีของผู้บำเพ็ญขั้นสร้างปราณยืนจ้องมองนางและซวีจื่ออิงที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ สีหน้าของพวกนางแค่มองดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้มาดี แต่ลู่สือม่านกลับส่งยิ้มให้สตรีทั้งสี่แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามแสดงความเป็นมิตรอย่างเต็มที่
“เจ้าคงจะเป็นคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองซวีกระมัง ส่วนอีกสองท่านที่อยู่ด้านหลังก็คงจะเป็นคุณหนูจูและคุณหนูตู้ ต้องขออภัยด้วยแต่เมื่อครู่นี้ข้ากับจื่ออิงพูดคุยกันแค่เพียงสองคน อีกทั้งเรื่องที่พวกข้าพูดคุยกันก็ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกข้าหาได้พาดพิงถึงเรื่องของพวกเจ้าเลยนะ” คำพูดของลู่สือม่านแม้ว่านางจะพยายามใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตร แต่คำพูดของนางก็ทำให้คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองของสกุลซวีอย่างซวีจื่อเหมยและซวีจื่อหลันเกิดความรู้สึกไม่พอใจจนถึงขั้นเดินเข้ามาหาแล้วส่งเสียงตวาดใส่ลู่สือม่านในทันที
“นี่เจ้ากำลังพูดจาส่อเสียดหาว่าพวกข้าเสนอหน้ามายุ่งกับเรื่องของพวกเจ้าเช่นนั้นหรือ” คำพูดของซวีจื่อหลันทำให้ลู่สือม่านยิ้มออกมาในทันที
“ข้าพูดออกไปเช่นนั้นหรือ จื่ออิงเจ้าได้ยินหรือไม่ข้าพูดจาส่อเสียดบรรดาพี่สาวของเจ้าอย่างนั้นหรือ” คำพูดของลู่สือม่านทำให้ซวีจื่อเหมยรวบรวมพลังลมปราณขึ้นมาแล้วปล่อยพลังลมปราณพุ่งเข้าใส่ลู่สือม่านและซวีจื่ออิง
“เปรี๊ยะ! เพล้ง!” เสียงม้าหินถูกพลังปราณโจมตีจนแตกหักพร้อมด้วยร่างของลู่สือม่านและซวีจื่ออิงที่หลบหนีการโจมตีอย่างทุลักทุเลทำให้ซวีจื่อหลัน จูเหม่ยฉี และตู้ฟางเหนียงต่างก็หัวเราะกับสีหน้าและท่าทีที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของลู่สือม่านและซวีจื่ออิง
“พวกเจ้าเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐาน แต่กลับใช้พลังปราณที่มากกว่าโจมตีพวกข้าที่อยู่ลำดับขั้นต่ำกว่า ไม่เกรงกลัวว่าพวกข้าจะนำการกระทำของพวกเจ้าไปฟ้องผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎของสำนักหรือ” คำถามของลู่สือม่านทำให้ซวีจื่อเหมยส่งเสียงเย้ยหยันออกมาในทันที
“เจ้าคิดว่าคุณหนูใหญ่จวนเจ้าเมืองที่แม้แต่ลูกอนุเจ้าก็ยังสู้นางไม่ได้ จะมีผู้ใดยินดีที่จะฟังถ้อยคำฟ้องร้องของเจ้า กฎในสำนักมีอยู่ก็จริง แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสำนักถงซานแห่งนี้ผู้ที่มีพลังปราณสูงกว่าคือบุคคลสำคัญของสำนัก”
“ใช่แล้ว เป็นอย่างที่พี่หญิงของข้าพูด คนไร้ค่าที่สู้ลูกอนุในจวนไม่ได้เช่นเจ้า มีหรือท่านผู้อาวุโสที่เป็นผู้คุมกฎจะยินดีที่จะรับฟัง” ซวีจื่อหลันเอ่ยออกมาพลางจ้องมองลู่สือม่านด้วยสายตาเยาะหยัน
“ไร้ค่าจนถึงขั้นทำให้คุณชายใหญ่สกุลจงขอถอนหมั้น ถ้าหากข้าเป็นเจ้า ข้าคงจะรู้สึกอับอายจนไม่กล้าจะสู้หน้าผู้ใดแล้ว ไม่มีทางมาเสนอหน้าอยู่ที่สำนักถงซานเช่นเจ้าหรอก” ตู้ฟางเหนียงที่อยู่ทางด้านหลังสองพี่น้องสกุลซวีเอ่ยสนับสนุนคำพูดของพวกนาง
จูเหม่ยฉีที่ยืนอยู่ด้านข้างตู้ฟางเหนียงก็เอ่ยวาจาออกมาเช่นเดียวกัน “เจ้ามันคนไร้ค่า สู้ลูกอนุในจวนก็ไม่ได้”
คำพูดของคนเหล่านี้ทำให้ลู่สือม่านเม้มปากแน่น ในบรรดาคำติฉินนินทาคำพูดที่ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดก็คือคำพูดที่ว่านางเป็นคนไร้ค่า ยามนี้ในใจของนางจึงรู้สึกทั้งเจ็บปวดและขุ่นเคือง
