...วุ่นวายนักจู่ๆ มีพ่อเป็นซุปตาร์...บทที่5.
“ทุกวันเอลต่างจากเด็กพวกนั้นตรงไหนล่ะ ยิ่งกว่าลิงเสียอีก” แม่ตอบกลับแล้วก็เอียงคอมอง น้ำตาแม่รื้นขึ้นมาในหน่วยตา แม่คงคิดถึงหมอนั่นสินะตอนที่มองหน้าฉัน
“เอลไม่ได้ซนเท่าเจ้าพวกนั้นเสียหน่อยนะคะ”
“ใช่เอลของแม่ไม่ซนเลยสักนิด” แม่ตอบแล้วก็ยิ้มกว้าง “เอลของแม่เป็นหัวโจกนี่นะ”
ฉันแสร้งทำฮึดฮัด ไม่ได้ไม่พอใจหรอกนะ ฉันแสร้งทำไปแบบนั้นเองเพื่อให้แม่หายเศร้า เมื่อแม่ยิ้ม เงาน้ำตานั่นก็หายไป
“เอลไปดีกว่าค่ะ ถ้าเอลได้งานนะแม่ เอลจะซื้อขนมมาฝาก”
ใช่เลยฉันไม่ต้องหาที่เรียนต่อ ฉันเป็นนักเรียนตัวอย่างที่ได้โคตาโดยไม่ต้องไปแย่งกับใคร ฉันไม่ได้เลือกสถาบันการศึกษาที่มีการแข่งขันสูงนี่ ทั้งที่ความจริงหากฉันตั้งใจจริงมีหรือว่าฉันจะสอบไม่ผ่าน แต่เพราะการไปเรียนในสถาบันเหล่านั้น จะทำให้แม่แบกภาระเกี่ยวกับฉันมากขึ้น ฉันเลยจำใจเลือกสถานศึกษาที่ไม่ทำให้ผลกระทบนั่นตกมาที่แม่ของฉันอีก
แม่พยามค้านฉันนะ แต่แม่ก็สู้เหตุผลที่ฉันหามาอ้างไม่ได้
ฉันกางกระดาษถามทุกคนที่ป้ายรถเมล์ ฉันไม่อายหรอก หากคนถูกถามจะมองฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ
กว่าจะดั้นด้นมาถึงจุดหมายปลายทางได้ ฉันก็เสียเวลางมหาเส้นทางไปหลายชั่วโมง
ฉันเตรียมใจสำหรับความผิดหวังมาด้วย ฉันเลยไม่รู้สึกอะไรตอนที่ถูกปฏิเสธ
“ไม่ได้นัดไว้ คงให้เข้าพบไม่ได้หรอกค่ะ”
ในสายตาของพวกเขาคงมองฉันเป็นพวกคลั่งดาราสินะ ฉันรู้ทัน แต่พยายามไม่สนใจแววตาของคนเหล่านั้น ฉันอดทนนั่งรอ หวังให้มีปฏิหาริย์ ทำให้ฉันกับใครคนนั้นได้เจอกัน
ฉันคงหวังมากไป ฉันเสียเวลาเกือบทั้งวันในการนั่งรอ
แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ผู้ชายคนนั้นอยู่ในจุดที่ฉันน่าจะเอื้อมไปไม่ถึงจริงๆ
ฉันมองไปรอบๆ ตัว ในที่สุดฉันก็มองเห็นทางออก
เท่าที่รู้มาผู้ชายคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งกับผู้ที่ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้มา เขาเป็นหุ้นส่วน เป็นผู้บริหารและเป็นนักแสดงด้วย เขาร่ำรวยเงินทอง ผิดกับแม่ฉันที่แทบจะกัดก้อนเกลือกิน
ฉันเดินตรงไปที่จุดนั้น หลังจากนั่งมองมาพักใหญ่
บอกแล้วไง กระเป๋าสะพายของฉันใส่ของไดเยอะ ในนั้นมีกล้องถ่ายวีดีโอนั่น และเอกสารที่ฉันจะต้องใช้ สำหรับการสมัครคัดเลือก อะไรสักอย่างที่กำลังมีคนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม
บทที่5.นี่แค่การเริ่มต้นเท่านั้นนะ
ฉันผ่านการคัดเลือกแบบลอยลำเหมือนที่คิดไว้ ฉันมารู้ทีหลัง หลังการคัดเลือกจบสิ้นลง ฉันไม่เคยคิดเอาดีทางด้านการแสดงเลย แต่มันฝังอยู่ในเส้นเลือด มันเป็นกลไกอัตโนมัติที่ฉันเองก็คาดไม่ถึง
สายตาคนไม่ทำให้ฉันแตกตื่น ฉันทำตามทุกสิ่งที่คนด้านหลังกำกับได้อย่างไม่มีตกหล่น เสียงชม เสียงปรบมือไม่ได้ทำให้ฉันฮึกเหิม เป้าหมายของฉันอยู่ที่ไหน มีแค่ฉันเท่านั้นที่รู้ดี
“น้องเอลขา ผิวดีแบบนี้เป็นลูกครึ่งใช่ไหมคะ”
ระหว่างที่ช่างแต่งหน้าตบแป้งซับเหงื่อให้ฉัน เขาถามคำถามที่ฉันเตรียมคำตอบไว้ในใจแล้ว
“ค่ะ คุณพ่อเอลมีเชื้อจีนนิดนึงค่ะ”
“ว้าว...มิน่าผิวเนียนเชียว แบบนี้ หากเข้าตาแมวมอง เผลอๆ จะได้โฆษณาหลายตัวเลยนะคะ แต่มีข้อแม้ หนูเอลต้องชนะการคัดตัวครั้งนี้นะคะ” ฉันพยักหน้า “ถ้าเอลเข้ารอบ เอลจะไม่ลืมพี่ๆ เลยค่ะ เอลแต่งหน้าไม่เป็น ถ้าเอลผ่านก็ต้องยกความดีความชอบให้พี่ๆ ทุกคนค่ะ”
“ปากหวานแบบนี้ มีแววว่าจะได้เข้ารอบแล้วล่ะ”
เป็นไปตามคาด หากวัดเรื่องไหวพริบล่ะก็ไม่มีใครในที่นี้สู้ฉันได้หรอก ฉันไม่สะเทิ้นกล้อง ไม่สะท้านสายตาคนมอง สติฉันไม่เตลิด แถมหน้าตาฉันก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้เข้าคัดเลือกทุกคน ฉันเลยผ่านเข้ารอบได้แบบที่กะเอาไว้
นี่แค่ก้าวแรกเอง ฉันต้องไปให้ไกลกว่านี้ และที่สำคัญ แม่ต้องไม่รู้
เงินรางวัลวันนี้อาจจะไม่เยอะในสายตาของคนอื่น แต่สำหรับฉัน มันคือเงินก้อนแรกที่ฉันหาได้ด้วยตัวเอง และยังสามารถผ่อนความกังวลให้แม่ได้อีกทาง
5000บาท เงินก้อนนี้ฉันจะใช้ให้คุ้มค่าที่สุด
ฉันยังไม่เจอใครคนนั้น แต่คงไม่ไกลเกินหวัง ฉันขยับเข้าใกล้เขาได้อีกก้าวหนึ่งแล้ว
