ตอนที่ 4 ถ้าเปลี่ยนตัวคู่หมั้นได้คงดี
ในช่วงเช้า ขณะที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อกำลังเดินอยู่ในสวนของวังเขากำลังคิดหนักเรื่องงานหมั้นกับคำพูดของว่าที่คู่หมั้น เหวิ่นลี่หยาได้เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ นางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนจะกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ถวายบังคมองค์ชายเพคะ ท่านพี่จือหยูอยู่ในตำหนักหรือไม่เพคะ” นางถามด้วยแววตาที่แสดงถึงความห่วงใย
หลี่หยวนเจ๋อเหลือบตามองนางเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะ “นางไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าไม่ได้พบเหวิ่นจือหยูมาหลายวันแล้ว”
เหวิ่นลี่หยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าคิดว่านางอาจจะยุ่งกับการเตรียมตัวสำหรับพิธีหมั้น ข้าเองก็ไม่ค่อยได้พบพี่จือหยูเช่นกัน แต่ข้าหวังว่านางจะสบายดี”
แม้คำพูดของนางจะเต็มไปด้วยความห่วงใยต่อพี่สาว แต่หลี่หยวนเจ๋อรับรู้ได้ถึงความต่างกันในน้ำเสียงของนาง เหวิ่นลี่หยาเป็นคนที่พูดจาอ่อนหวานและมีท่าทีที่แสดงออกถึงความอ่อนน้อมเสมอ ไม่เหมือนเหวิ่นจือหยูที่มักจะทำตัวแข็งกระด้างและไม่เคยแสดงความอ่อนโยนให้เขาเห็น
“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน” หลี่หยวนเจ๋อตอบ “บางครั้งข้าก็สงสัยว่าทำไมข้าต้องแต่งงานกับนาง ทั้งที่ข้ากับนางแทบไม่รู้จักกันเลย”
เหวิ่นลี่หยายิ้มเบาๆ แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้าคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษและสตรีอาจต้องใช้เวลา องค์ชายและพี่จือหยูอาจยังไม่ได้รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง แต่หากท่านให้โอกาส ข้าเชื่อว่าความรักจะเกิดขึ้นได้เพคะ”
คำพูดนั้นทำให้หลี่หยวนเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกถึงความจริงในคำพูดของเหวิ่นลี่หยา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับมันได้ง่ายๆ
“ถ้าเปลี่ยนตัวคู่หมั้นได้ก็คงดี…” ความคิดนั้นแวบขึ้นในใจขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อขณะที่มองเหวิ่นลี่หยา นางเป็นหญิงสาวที่งดงาม อ่อนโยน และมีความเป็นกุลสตรีทุกประการ หากนางเป็นคู่หมั้นของเขาแทนพี่สาวที่หยิ่งผยอง ทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้มาก
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนตัวคู่หมั้นไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวพันกับการเมืองและตระกูลใหญ่เช่นนี้ ตระกูลเหวิ่นเป็นผู้มีอิทธิพล หากเขาทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น นั่นอาจทำให้ราชวงศ์หลี่ตกอยู่ในอันตราย
เขาถอนหายใจเบา ๆ ขณะมองเหวิ่นลี่หยาที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่เบื้องหน้า ความคิดนี้เริ่มเกาะกุมจิตใจเขามากขึ้นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับนาง “บางครั้งข้าก็คิดว่า... ถ้าเจ้าคือคู่หมั้นของข้าแทนเหวิ่นจือหยูเรื่องราวอาจจะง่ายกว่านี้” เขาพูดขึ้นอย่างไม่ทันระวังตัว
เหวิ่นลี่หยาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ แม้ปกตินางจะควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่คำพูดขององค์ชายทำให้หัวใจของนางสั่นไหว นางไม่เคยคาดคิดว่าพระองค์จะคิดเช่นนั้นจริง ๆ นางรู้ดีว่าพระองค์ไม่พอใจกับการหมั้นหมายนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์แสดงความรู้สึกเช่นนี้ออกมาอย่างชัดเจน
“องค์ชาย…” นางเรียกเบาๆ ขณะพยายามรักษาท่าทีให้สงบ “ข้าเพียงเป็นหญิงสาวธรรมดา มิอาจเปรียบเทียบกับพี่จือหยูได้เลยเพคะ ท่านพี่เป็นบุตรสาวคนโตที่ได้รับการยกย่อง ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งของนางแม้ว่าใจข้าอยากให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม”
แม้คำพูดนั้นจะเต็มไปด้วยความสุภาพ แต่นัยน์ตาของเหวิ่นลี่หยาแสดงออกถึงความเศร้าและความรู้สึกที่ถูกปิดบังมานาน ความจริงคือ เหวิ่นลี่หยาเองก็หลงรักองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อมาตลอด แต่นางแสดงออกอย่างนอบน้อม เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ ไม่มีตำแหน่งที่จะยืนอยู่เคียงข้างเขา ยกเว้นว่าพี่สาวนางจะไม่ยืนอยู่ที่นี่แล้ว
หลี่หยวนเจ๋อเห็นความรู้สึกนั้นในสายตาของนางและคำพูดเมื่อครู่เขาก็เข้าใจ แม้ว่าเหวิ่นลี่หยาจะไม่พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา แต่นางก็ไม่ปฏิเสธความจริงที่ว่าหากเป็นไปได้ นางเองก็อาจจะยินดีที่ได้ยืนอยู่ในที่ของพี่สาว
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใครทั้งนั้น” หลี่หยวนเจ๋อกล่าวอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายมากขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่แตกต่างจากเหวิ่นจือหยู ข้าเองก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีค่ามากในสายตาของข้า”
คำพูดนั้นทำให้เหวิ่นลี่หยายิ้มบาง ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้าซ่อนอยู่ "องค์ชายใจดีเกินไปแล้วเพคะ แต่ข้าก็ยังคงเป็นน้องสาวของพี่จือหยู ไม่อาจขัดขวางการหมั้นหมายของท่านและนางได้"
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะขัดขวาง” องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อกล่าว “เพียงแต่ข้ากำลังคิดหาทางออก... ที่อาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นสำหรับพวกเราทั้งหมด”
เหวิ่นลี่หยายืนนิ่ง นางไม่กล้าพูดอะไรต่อไป แม้จะมีความปรารถนาอยู่ในใจ แต่นางก็รู้ว่าหนทางนี้ยากเกินไป แต่ถ้ามันเป็นไปได้ก็ดี
ในขณะที่องค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นลี่หยาสนทนากันอย่างเป็นกันเอง ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่บานสะพรั่ง เสียงสนทนาที่ดูเหมือนเป็นความลับระหว่างคนสองคนไม่อาจปกปิดจากบุคคลที่สามได้
เหวิ่นจือหยูที่บัดนี้อยู่ในคราบของวาดรวีหญิงสาวจากยุคปัจจุบันซึ่งถูกดึงเข้ามาในร่างของเหวิ่นจือหยูโดยไม่ทันตั้งตัว เธอซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ขณะที่เสียงสนทนาขององค์ชายและเหวิ่นลี่หยาลอยมาถึงหูของเธออย่างชัดเจนทุกคำ
“ถ้าเปลี่ยนตัวคู่หมั้นได้ก็คงดี…”
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะขัดขวาง..เพียงแต่ข้ากำลังคิดหาทางออกที่อาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นสำหรับพวกเราทั้งหมด”
วาดรวีหรือเหวิ่นจือหยูใจสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เสียงขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อแทงเข้าไปในใจของเธออย่างแรง แม้จะรู้ว่าองค์ชายไม่ชอบนิสัยของเหวิ่นจือหยูในอดีต แต่มันก็ยากที่จะยอมรับเมื่อได้ยินชัดเจนจากปากเขาเช่นนี้ วาดรวีไม่เคยคาดคิดว่าองค์ชายจะรู้สึกหนักแน่นขนาดนี้กับการหมั้นหมายของเขากับเหวิ่นจือหยู
ในความเป็นจริง เหวินจือหยูในอดีตนั้นอาจสมควรได้รับการปฏิเสธ แต่วาดรวีไม่ใช่เหวิ่นจือหยูเดิมอีกต่อไป เธอเป็นคนใหม่ที่ถูกบังคับให้เข้ามาอยู่ในโลกนี้ในสถานการณ์ที่เธอไม่เคยเข้าใจ หญิงสาวจากยุคปัจจุบันพยายามทำความเข้าใจชีวิตในยุคจีนโบราณ และเรียนรู้ที่จะรับมือกับความคาดหวังทางสังคมอันเข้มงวด ทั้งในฐานะบุตรสาวของภรรยาเอก และในฐานะคู่หมั้นขององค์ชาย แต่การได้ยินความรู้สึกจริงๆ ของเขาเช่นนี้ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยมีดที่มองไม่เห็น
“ข้าคิดว่าถ้าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้าแทนเหวิ่นจจือหยู ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้นมาก…”
เสียงขององค์ชายยังคงก้องอยู่ในหูของเธอ วาดรวีแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ขณะที่เธอค่อยๆ หลบหลีกออกมาจากจุดที่เธอแอบฟัง เธอไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอในดวงตาของเธอ โดยเฉพาะเหวิ่นลี่หยาและองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อที่อยู่ตรงนั้น
“ข้าคิดว่าถ้าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้าแทนเหวิ่นจือหยู ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้นมาก…”
เพียงแค่คำพูดนี้ ทำให้หัวใจของวาดรวีรู้สึกสับสนปนกับความเสียใจและรู้สึกหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่เคยชอบเหวิ่นจือหยูเป็นทุนเดิม แต่การได้ยินเขาพูดถึงน้องสาวอย่างเหวิ่นลี่หยาด้วยความชื่นชมและสนิทสนมผิดกับเวลาพูดถึงเธอไม่เคยมีคำพูดไหนเลยที่จะชื่นชมออกมาเช่นนี้ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก แม้จะไม่ใช่ความผิดของเธอโดยตรง แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในใจ
เธออยากจะออกไปจากสถานการณ์นี้ อยากจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความรู้สึกขององค์ชายและเหวิ่นลี่หยา อยากจะถือในศักดิ์ศรียกเลิกงานหมั้นงานแต่งนี้เสียเอง แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถหนีความจริงนี้ได้ เพราะวาดรวีบัดนี้คือเหวิ่นจือหยูและเป็นคู่หมั้นที่ถูกกำหนดมาแล้วอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ถ้าจะหลีกทางให้เหวิ่นลี่หยาที่ดูท่าแล้วอยากได้ตำแหน่งนี้ก็คงสมใจนางและเฉียนอี้หรงผู้เป็นแม่ที่อยู่ยุยงให้ลูกสาวแก่งแย่งทุกอย่างจากเหวิ่นจือหยู
วาดรวีรีบกลับจวนทันทีด้วยความรู้สึกหน่วงในหัวใจ เธอไม่อยากรับรู้เรื่องราวที่องค์ชายกับน้องสาวพูดคุยกันต่อ พอมาถึงจวนทุกคนก็ตกใจว่าคุณหนูเหวิ่นจือหยูกลับมาเร็วทั้งๆที่เพิ่งบอกกับแม่นมหลานซินว่าจะไปหาองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อได้ไม่นาน
หลังจากที่วาดรวีเข้ามาอยู่ในร่างของเหวิ่นจือหยูทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอพลิกผันไปจากที่เคยเป็น แม้กระทั่งเหล่าคนรับใช้ในจวนต่างก็ยังรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน คุณหนูเหวิ่นจือหยูคนก่อนที่เคยเย่อหยิ่ง เต็มไปด้วยความร้ายกาจทำให้ผู้คนรอบตัวหวาดกลัว แม้แต่คนรับใช้ใกล้ชิดก็ต้องเดินบนเส้นด้ายด้วยความระมัดระวัง หวาดเกรงว่าจะเผลอทำสิ่งใดผิดพลาดและกลัวถูกลงโทษ จนไม่มีใครที่อยากจะมารับใช้เหวิ่นจือหยูด้วยความเต็มใจเลยสักคนยกเว้นแม่นมหลานซินและอี้เหมยที่คอยดูแลคุณหนูเหวิ่นจือหยูมาตลอด
คุณหนูเหวิ่นจือหยูก่อนเกิดอุบัติเหตุขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจ นางมักจะเกรี้ยวกราดอารมณ์ร้ายใส่คนรับใช้ที่ทำผิดแม้เพียงเล็กน้อย บางครั้งเพียงเพราะอารมณ์หงุดหงิดส่วนตัว นางเคยสั่งให้ลงโทษสาวใช้ที่ทำชาร้อนหกใส่มือของนางโดยไม่ตั้งใจ ทำให้คนในจวนต่างหวาดหวั่นอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำสิ่งใดผิดพลาด และถูกโบยตีอย่างรุนแรงโดยไม่ยอมให้โอกาสอธิบาย
แต่หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เมื่อคุณหนูเหวิ่นจือหยูฟื้นขึ้นมา ทุกคนในจวนต่างรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง นิสัยของนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด วาดรวีในร่างเหวิ่นจือหยูกลายเป็นหญิงสาวที่มีท่าทางอ่อนโยน ใจเย็น และมีความเมตตาต่อผู้คนรอบตัว ซึ่งสร้างความประหลาดใจและความงุนงงให้กับคนรับใช้ทุกคน
