บทที่ 2
คอนโดและเงินห้าล้าน
“ฉันน้อย...มิเรียมไง”
เธอส่งยิ้มแก้เก้อ เจ้าของบ้านรีมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เธอมีธุระอะไร”
“แม่ฉันมาเยี่ยมซ้อ ฉันเลยมาดูคุณด้วย”
ภาษรผอมลง และดูไม่เป็นมิตรเลย ทีแรกตั้งใจจะเรียกชื่อเฉย ๆเพื่อความสนิทสนม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เห็นด้วย สรรพนามเลยเปลี่ยนห่างเหินเป็น “คุณ”
“สบายดีไหม”
“เธอคิดว่าคนอยู่บนรถเข็นสบายดีหรือไง”
นอกจากท่าทางไม่ดีแล้ววาจายังเชือดเฉือน เธอไปเหยียบหางเขามาหรือยังไง
“แล้วเธอล่ะสบายดีเหรอ”
เหมือนภาษรจะคิดได้ ค่อยถามกลับด้วยโทนเสียงที่รื่นหูหน่อย
“ก็ดี”
“จะกลับมาอยู่บ้านเลย หรือแค่มาเยี่ยม”
“ยังไม่รู้เลย” เธอยักไหล่ ยอมจนนำต่อโชคชะตาขณะนี้
“งั้นช่วยเข็นฉันเข้าบ้านหน่อย อยู่ตรงนี้นาน ๆ เบื่อ”
มิเรียมจึงเห็นว่าที่ท่อนล่างของเขามีผ้าห่มลายตารางคลุมอยู่
“ขาฉันหัก เป็นคนพิการ อยากดูไหม”
ภาษรกลับมาไม่เป็นมิตรอีกแล้วเมื่อเห็นตาโตปรายมองที่ท่อนล่างตน
“ขาเป็นอย่างนี้คุณเจ็บไหม”
หญิงสาวไม่สนใจท่าทีเขา เข็นรถไปตามทาง ขนาดผอมแล้วภาษรยังตัวหนัก ต้องใช้แรงมากพอดูในการดันรถไปข้างหน้า
“ไม่มีความรู้สึก ตายด้านไปหมด”
เขาช่วยโดยการใช้มือหมุนล้อรถ...น่าจะทำอย่างเสียตั้งนานแล้ว ให้เธอออกแรงทำไม
“สบายใจได้ ฉันเป็นไอ้ด้วนที่ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม
“ทำไม...คุณจะทำอะไรฉัน”
ภาษรทำตัวแปลก ๆ กับเธอ ไม่เป็นมิตรหนึ่งล่ะ พูดจาแปลก ๆ ก็อีกหนึ่ง
“ก็เรื่องที่ป๊าม้าจะให้เธอแต่งงานกับฉันไงล่ะ”
มิเรียมปล่อยรถเข็นทันที ดีที่ภาษรยังจับล้อไว้ ไม่อย่างนั้นมันคงเคลื่อนไปชนอ่างบัวข้าง ๆ กัน
“เธอจะฆ่าฉันหรือยังไงยัยหนูน้อย”
คนป่วยโวย แต่เธอไม่ฟังแล้ว วิ่งหน้าเชิดไปหามารดาเพื่อขอคำชี้แจง
“ได้คุยกับอาอี้แล้วเป็นยังไงบ้าง” ซ้อยิ้มทัก
ไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากถามก็ก็พูดต่อ
“เห็นไหม บอกแล้วดวงอีทั้งสองสมพงษ์กันตามที่ซินแสบอกไว้เป๊ะ” นางหลิ่วตาให้แม่
“นี่มันอะไรคะแม่ ดวงสมพงษ์อะไร ทำไมคุณอี้พูดถึงเรื่องแต่งงาน”
แม่กำลังจะอธิบายเสียงห้าวก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“พ่อแม่เธอกับป๊าม้าฉันจะให้เราแต่งงานกันเพื่อล้างซวย” ภาษรหน้าบูด เขาใช้สองมือเคลื่อนล้อรถเข็นตามเธอมา
“แม่...” ลูกสาวคิ้วตกพร้อมคราง
“น้อยใจเย็น ๆ ฟังแม่ก่อน”
“ไหน ๆ ก็รู้กันหมดแล้ว เฮ้ย! ใครก็ได้ไปเอาน้ำชามาเสิร์ฟเพิ่มหน่อย เอาขนมเปี๊ยะจากโรงแรมแชงกรีลาที่นายอำเภอเอามาฝากจากกรุงเทพมาเลย” ซ้อตะโกนบอกเด็กในบ้าน
ท่ามกลางเสียงแม่ที่ค่อย ๆ เล่า ภาษรมีแฟนอยู่แล้ว แต่เถ้าแก่วิชัยกับซ้อไม่ชอบเท่าไร เพราะเอาดวงไปผูกกับซินแสแล้วบอกว่าไปกันไม่รอดแน่ แต่เขาเป็นคนหัวสมัยใหม่จึงฝืนคบ จนเกิดอุบัติเหตุ
แรก ๆ แฟนเขาก็มาดูแลดี แต่พอรู้ว่าท่อนล่างจะใช้การไม่ได้และถูกครอบครัวเถ้าแก่กดดันหนัก แฟนคนที่ว่าเลยเลิกกัน แล้วไปคบคนใหม่ ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลเป็นหนึ่งในเพื่อนภาษรเอง
ชายหนุ่มเสียใจมาก ไม่เป็นทำอะไร ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน เศร้าซึมหมดอาลัยตายอยาก อารมณ์ร้ายฉุนเฉียว ใครเข้าหน้าก็ไม่ติด อาการแย่ลง
ในเมื่อหมอแผนปัจจุบันพึ่งไม่ได้ เถ้าแก่กับเมียจึงไปพึ่งซินแส ซึ่งแนะนำให้แก้เคล็ดโดยการแต่งกับสาวปีเถาะ ระบุเชิงลึกมาอีกว่าราศีนี้ เกิดเดือนนี้
เถ้าแก่วิชัยผู้ตามใจเมียจึงไปติดสินบนข้าราชการปกครองในอำเภอ จนได้รายชื่อสาวปีเถาะที่ว่ามา ซ้อส่งไปให้ซินแสดู แล้วหวยก็มาออกที่มิเรียมผู้มีคุณสมบัติตรงตามที่ว่า
ซ้อเอาเรื่องนี้มาเกริ่นกับพ่อแม่ อ้างว่าห่วงลูก ๆ แต่ละฝ่ายที่คนหนึ่งก็ป่วยคนหนึ่งก็อยู่ไกล แต่สรุปยังโสดกันทั้งคู่ ซ้อจึงอยากให้มิเรียมมาแต่งกับภาษร เท่านี้ทั้งสองครอบครัวก็สบายใจหายห่วง
“นี่มันสมัยไหนกันแล้วคะ ยังเชื่อเรื่องพวกนี้กันอยู่อีกเหรอ” เธอโวยเมื่อฟังความจบ
“ฉันก็พูดแบบนี้เหมือนกัน” ภาษรยกชาขึ้นจิบ
“ใครมันจะไปยอมแต่งงานด้วยเรื่องบ้า ๆ แบบนี้”
“เรื่องพวกนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นาอาหนูน้อย ลื้อก็เพิ่งตกงานไม่ใช่เหรอ เห็นไหม เหมือนที่ซินแสบอกเลย” ซ้อพยักพเยิดกับมารดาเธอ
“หนูไม่แต่งนะคะ”
“ผมก็ไม่แต่งนะม้า”
ซ้อใหญ่มองสองหนุ่มสาวน้ำตาคลอหน่วย จนคนรับใช้ต้องรีบหาทิชชูมาให้
“ลื้อรู้ไหมอาอี้ ตั้งแต่ลื้อป่วยนี่ไม่มีวันไหนที่อั๊วกับเฮียหลับลงเลย กลัวไปหมด กลัวจะไม่มีคนดูแลลื้อตอนแก่ ต้องอยู่ชีช้ำคนเดียว” เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือประกอบ
“เรามีเงินก็จ้างพยาบาลพิเศษสิ” ลูกชายเถียงต่อ
“เฮ้ย...มันจะไปจริงใจเท่าคนในครอบครัวได้ยังไง พี่น้องลื้อเดี๋ยวมันก็ต้องแต่งงาน จะเหลือลื้อคนเดียวที่เป็นโสด ถ้าอั๊วตายไปจะไปเจอหน้าเหล่ากงเหล่าม้าได้ยังไง ที่ปล่อยลื้อให้อยู่ตัวคนเดียว”
เคยได้ยินว่าแม่ของภาษรเป็นนางเอกงิ้วเก่า เพิ่งจะแจ้งแก่ตาวันนี้ว่าเป็นเรื่องจริง ทั้งน้ำเสียงโศกา การบีบน้ำตา แถมทีท่าเหม่อมองไปยังรูปบรรพบุรุษผู้ล่วงลับบนผนังอีก
ลูกชายกัดฟันกรอดที่มารดาใช้น้ำตาเป็นอาวุธ ขณะมิเรียมเม้มปากอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี แม่เธอยังปลอบแม่เขาอยู่
“ยังไงก็ตามผมไม่แต่ง”
เขาหมุนล้อรถไปทางห้องใกล้บันได ที่เธอมาเห็นทีหลังว่าเป็นลิฟต์สำหรับคนพิการ
“เห็นไหมลูกชายอั๊วมันหัวดื้อ อั๊วกลุ้มใจ” ซ้อรำพันทั้งน้ำตา
“คงมีใครสักคนที่รักคุณอี้จริงผ่านเข้ามาเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ ค่ะ หนูเคยดูรายการทีวี มีเยอะไปที่คนธรรมดากับคนพิการรักกัน” มิเรียมพยายามแก้สถานการณ์หดหู่นี้
“อั๊วอยากให้อาหนูน้อยมาแต่งงานกับอาอี้ อั๊วไม่ได้ให้แต่งฟรี ๆ นะ จะจ่ายค่าคอนโดที่หนูยังผ่อนให้หมดให้อีก แถมยกสินสอดทองหมั้นให้เลย”
“อะไรนะคะม้า” มิเรียมตาโต ใจเต้นแทบหลุดจากขั้ว
“อั๊วจะให้สินสอด”
“ไม่ใช่ค่ะ เรื่องคอนโด”
“อั๊วจะจ่ายค่าคอนโดให้หมดที่ลื้อกู้แบงก์ไว้น่ะ เห็นแม่ลื้อบอกว่ารักมากไม่ใช่เหรอ”
เธอหันไปทางมารดา นางขยิบตา
“หมอบอกเคสอย่างอาอี้ในเมืองนอกเขาก็กลับมาเดินได้ อีแค่ขาดกำลังใจ ถ้าลื้อทำให้อีกลับมาเดินได้ อั๊วแถมเงินให้อีกห้าล้าน”
ในสมองของมิเรียมตอนนี้เห็นแต่ภาพตัวเองนอนอยู่บนเตียงในคอนโดสุดรัก โดยมีธนบัตรเป็นปึก ๆ รายรอบ
ข้อเสนอนี้ช่างยั่วยวนยิ่งนัก อย่างกับการทำสัญญากับปีศาจเลยเชียว
