ep1
งานเลี้ยงเลิกราไปนานแล้ว ทิ้งไว้เพียงเศษซากของความสุขและเสียงหัวเราะ ที่ฝากไว้กับขวดเหล้าและโซดาที่กลิ้งอยู่ใต้พื้นโต๊ะ ก้นบุหรี่จำนวนมากที่ถูกบดขยี้ลงกับพื้นและที่เขี่ย จานอาหารที่เหลืออย่างมากคือผักรองอาหาร ก่อนหน้าที่ร้านจะปิด เด็กเสิร์ฟวิ่งพล่านอยู่ในร้าน คอยชงเหล้า คอยเสิร์ฟอาหาร คอยรับออร์เดอร์ลูกค้า
ใครกันที่บอกว่า..คนที่มาร้านเหล้า ล้วนเจือไปด้วยความเหงา และเศร้าอยู่ลึกๆ ริลยาไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลย เธอเห็นลูกค้าจำนวนมากที่เข้ามาในร้านของเธอ....พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมีความสุขกับการดื่มกิน หรือ..จะมีคนเศร้า แต่เธอก็เชื่อว่า....น้ำอมฤตนั่น ทำให้เขาหายเศร้าได้ แม้เพียงชั่วครู่ ชั่วยามก็ตาม และนี่คือเหตุผลที่เธอเปิดร้าน
เหล้า ร้านที่สร้างความสุขให้กับทุกคน
“คุณริลครับ”
เสียงเรียกของพนักงานในร้านทำให้เธอตื่นจากภวังค์ความคิด รอบๆ ตัวเธอเปลี่ยนไป ทุกอย่างถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย
“เสร็จเร็วจริง มาครบกันทุกคนแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“ค่ะ”
เธอเดินไปหลังเคาน์เตอร์ พนักงาน ๑๒ คน สำหรับร้านเหล้าเล็กๆ ของเธอ ยืนรอด้วยสีหน้าเศร้าๆ ซองขาวถูกแจกออกไปตามรายชื่อ
“แล้วคุณริล จะปิดร้านใหม่ไหมครับ” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ฉันยังไม่รู้หรอก ถ้าเจรจาสำเร็จ ฉันจะกลับมา?”
“ขอให้สำเร็จนะครับ” เขาตอบอย่างกระตือรือร้น
“พวกเราเป็นกำลังใจให้นะครับ ขอให้คุณริลได้เปิดร้านอีก”
ริลยายิ้มกับทุกคน เธอซึ้งใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้านเหล้าร้านนี้เป็นร้านแรกที่เธอเก็บหอมรอมริบเปิดมันขึ้นมาด้วยความหวัง ไม่คิดว่าวันหนึ่งมันจะถูกสั่งเลิก ทั้งๆ ที่กิจการกำลังรุ่งโรจน์ แต่ทุนที่เธอลงไปมันยังไม่คืนมาเลย
“ฉันก็อยากเปิดร้านอีก ลงทุนไปก็เยอะ”
“คุณริล พอจะบอกเหตุผลกับพวกเราได้ไหมครับว่า ทำไมถึงปิดร้าน ไม่เสียดายหรือครับ”
“เสียดายซิ แต่เมื่อคุณปู่สั่งทนายให้มาปิดร้านแบบนี้ ฉันก็ต้องยอมไปก่อน แต่ฉันก็เชื่อว่ามันจะกลับมาเปิดอีกครั้ง ฉันจะเจรจากับคุณปู่ให้ได้”
ท่าเรือเฟอร์รี่
ริลยาลากกระเป๋าด้วยใบหน้างอง้ำ หล่อนอดหลับอดนอนอยู่บนเครื่องแล้วต้องเบียดเสียดยัดเยียดกับผู้คนจำนวนมากเพื่อนั่งรถสองแถวมาท่าเรือ ก็ไหนว่าคุณปู่จะส่งคนไปรับ....รออยู่นานก็ไม่เห็นใคร หล่อนตัดสินใจนั่งรถมาเอง เพราะถ้าขืนรอมีหวังตกเรือแน่ ๆ คุณปู่นะคุณปู่...พูดไม่เป็นคำพูดเลย
“คุณริลยาหรือเปล่าครับ” สำเนียงแปร่งหูทักทาย ยิ้มร่ามาแต่ไกล หล่อนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“คุณปู่ให้มารับใช่ไหม”
“เอ่อ..ใช่ครับ”
ริลยาปล่อยกระเป๋าที่กำลังลาก วางให้เขาแล้วเดินนำหน้า
“เรืออยู่ที่ไหน”
“โน่นครับคุณ จอดอยู่ลำสุดท้ายเลยครับ”
ริลยาเดินลิ่วๆ ไปที่เรือเฟอร์รี่ที่จอดอยู่ หล่อนง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้ว เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไปถึงจะต่อว่าคุณปู่เสียให้หนำใจ ปล่อยให้หล่อนคอยอยู่ที่สนามบินกว่าชั่วโมง
“ทำไมไม่มีคนไปรับฉันที่สนามบิน”
ริลยาลองหยั่งเชิงถาม ขณะที่คนขับเรือเข้าประจำที่เตรียม พร้อมจะออกเดินทาง
“ไม่ทราบครับ ผมได้รับคำสั่งมาแค่นี้”
ริลยาเงียบ...ไม่คิดจะต่อว่าเขาหรอก เพราะเขาก็ทำตามคำสั่ง ต้นเหตุมันอยู่ที่คุณปู่คนเดียว
เรือแล่นฉิวออกไปในท้องทะเลที่กว้างใหญ่ คุณปู่ของริลยามีเกาะส่วนตัวเล็กๆ ในฝั่งอันดามัน จะว่าเกาะส่วนตัวก็ไม่ถูกนัก เรียกว่ามันเป็นสัมปทานเกาะของคุณปู่จะเหมาะกว่า ริลยาดั้นด้นมาถึงเกาะเพทาย ก็เพราะคุณปู่ไม่ยอมกลับขึ้นฝั่ง แต่ส่งทนายไปยื่นเงื่อนไขให้เธอปิดร้าน เพราะบ้านและที่ดินที่เธอเปิดเป็นร้านเหล้า เรสเตอร์รอง ถูกเปลี่ยนมือเป็นของใครก็ไม่ทราบ เธอจะต้องมาคุยกับคุณปู่ให้รู้เรื่อง
เรือเฟอร์รี่จอดที่ท่าเรือส่วนตัว หาดทรายขาวสะอาดตัดกับน้ำทะเลสีคราม มีเรือประมงอยู่ประปราย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคนของคุณปู่ กิจการของคุณปู่คือสัมปทานรังนก ซึ่งอยู่อีกฟากเกาะ แต่ฝั่งที่เป็นที่อยู่ด้านนี้ มีหาดสวย และชาวบ้านยังทำการประมง
ริลยาลงจากเรือแล้วเดินฉับๆ ไปที่เรือนหลังใหญ่ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก โดยไม่สนใจกระเป๋าเดินทาง เพราะรู้แน่ว่าเดี๋ยวคนของคุณปู่ก็เอาขึ้นมาให้เอง
ทันทีที่ริลยาเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดเปลี่ยนเป็นแบบโมเดิร์นทั้งหมด ของโบราณล้ำค่าของคุณปู่ไม่เหลือแม้สักชิ้น....เกิดอะไรขึ้น!
“คุณคงเป็นคุณริลยา”
เสียงห้าวลึกดังออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง ชั่วครู่เก้าอี้นวมหลังใหญ่ก็หมุนกลับมาทางเธอ
“คุณเป็นใคร”
ใบหน้าของชายหนุ่มผมยาวประบ่า หนวดเคราขึ้นรกรุงรังเต็มหน้า มีเพียงแววตาคมกล้าที่มองเธอราวกับสะกดมนตรามาที่เธอ
“ผมเป็นนายหัวคนใหม่ของที่นี่ ชื่อมาร์ค อัลเดอร์สัน”
