บทที่ 7 คุ้นตา
ไป๋เฉินเซียงเพิ่งได้ทราบเดี๋ยวนี้เองว่าแท้จริง ที่นางเดินทางมายังวัดเฉินหลิงได้โดยง่ายเป็นเพราะกำไลข้อมือที่มารดาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า อีกทั้งมารดาของนางยังฝากฝังไป๋เฉินเซียงไว้กับนักพรตติงรุ่ยฉีตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว
ในกำไลมีส่วนผสมของไม้กฤษณาหายาก ซึ่งสามารถใช้ทลายค่ายกลพรางตาและนำทางมาจนถึงที่นี่ได้ คาดไม่ถึงว่าชาติก่อนไป๋เฉินเซียงไม่เคยคิดโผล่มายังวัดแห่งนี้เลยสักครั้ง ล่าสุดที่เคยเข้ามาก็ช่วงที่ตนอายุเพียงห้าหนาว ก้าวเท้ามาหนแรกก็ฝันถึงภาพของตนกับพี่ชายปริศนาในวัยเด็กเสียอย่างนั้น
จะว่าไปแล้วคงเป็นเพราะสถานะของไป๋เฉินเซียงที่เกิดมาต่ำต้อยด้อยกำลัง ชาติก่อนนั้นจึงยินยอมก้มหัวให้ผู้อื่นรังแกและเหยียบย้ำดั่งเศษธุลี ในเมื่อสวรรค์มอบชะตาชีวิตใหม่ให้แก่นาง เช่นนั้นไป๋เฉินเซียงจึงมาดมั่นจะใช้มันแก้ไขอดีตและทวงคืนความเป็นธรรมให้จงได้
ในที่สุดไป๋เฉินเซียงก็ได้กราบไหว้นักพรตติงรุ่ยฉีเป็นอาจารย์ ไป๋เฉินเซียงนับเป็นศิษย์หญิงคนที่สองของเขา แน่นอนว่าศิษย์หญิงคนแรกก็คือมารดาของไป๋เฉินเซียงนั่นเอง
นักพรตน้อยผู้นั้นแม้อายุน้อยกว่าไป๋เฉินเซียงหนึ่งปี ทว่าหากนับตามศักดิ์ที่กราบอาจารย์ เขาก็คือศิษย์พี่ของนาง นามของนักพรตน้อยก็คือ เกาจวิ้น
“ศิษย์พี่เกา ท่านจะไปที่ใดหรือ”
ระหว่างปรุงยาไป๋เฉินเซียงก็นั่งใคร่ครวญเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งเห็นนักพรตน้อยเกาจวิ้นเดินผ่านมาพร้อมกล่องเครื่องมือแพทย์จึงนึกสงสัย
“ศิษย์น้องหญิง ข้ากำลังจะนำโอสถวิเศษไปผสมที่บ่อน้ำพุร้อนตรงท้ายหุบเขา”
ไป๋เฉินเซียงวางมือ รุดเข้าหาศิษย์พี่ของตนด้วยความกระตือรือร้น พลางเช็ดมือเช็ดไม้ด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าเคยได้ยินมานานว่าบ่อน้ำพุร้อนของที่นี่ สามารถช่วยขจัดโรคภัยได้ทุกชนิด ซ้ำยังสามารถช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเลือดลมเดินสะดวก ข้าเองก็เป็นศิษย์ท่านอาจารย์ร่วมเดือนแล้ว ยังไม่เคยไปที่นั่นสักหน”
นักพรตน้อยลังเล “แต่ว่าศิษย์น้อง ที่แห่งนั้นไม่เหมาะกับสตรี อีกอย่างคนที่เข้ารับการรักษาวันนี้ก็เป็นบุรุษ ทั้งยังเป็นคนสำคัญของราชสำนักด้วย”
“เป็นบุรุษเป็นสตรีแล้วอย่างไรกัน มิใช่อาจารย์เคยสอนเองหรอกหรือว่าการแพทย์ไม่แบ่งแยกชายหญิง หรือท่านว่าข้าพูดไม่ถูก”
“เอ่อ…ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด เพียงแต่…”
“เอาเช่นนี้แล้วกันเจ้าค่ะ” ไป๋เฉินเซียงโพล่งพร้อมรอยยิ้มซุกซน
“เจ้าคิดสิ่งใดได้งั้นหรือ”
“ศิษย์พี่รอข้าเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ท่านอย่าขยับ ห้ามไปก่อนข้า ไม่เช่นนั้นจะถือว่าท่านผิดคำพูด เป็นนักพรตทั้งยังถือวิชาแพทย์เป็นหลักต้องรักษาสัจจะข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”
นักพรตน้อยกะพริบตาปริบ ๆ สติของเขาหลุดลอยทั้งยังพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว ไป๋เฉินเซียงแย้มยิ้มไปจนถึงดวงตา “ศิษย์พี่รอข้าครู่เดียวเจ้าค่ะ”
ร่างระหงผละห่างออกไปไวปานลมกรด
นักพรตน้อยได้สติ เขาสลัดศีรษะไปมา “ช้าก่อน ศิษย์น้อง”
กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองตกหลุมพราง ศิษย์น้องตัวแสบก็เผ่นแน่บหายลับเข้าไปหลังม่านผืนโปร่งราวมนุษย์ล่องหนเสียแล้ว มือหยาบกร้านยกขึ้นกุมขมับ เอ่ยพึมพำเสียงแผ่ว “ข้ารับปากนางเมื่อใดกัน”
.
.
“ท่านแม่ทัพ รถม้าพร้อมแล้วขอรับ”
เจ้าของร่างสูงพยักหน้า เขาใช้ไม้เท้าขัดเงาสลักลายพยัคฆ์เป็นดั่งดวงตาคอยนำทาง องครักษ์คนสนิทเข้าช่วยประคอง
“ไม่ต้องลำบาก ข้าเดินเองได้”
หลีซงก้าวถอยหลัง “หรือว่าดวงตาของท่าน…”
“ยัง…ข้ายังมองไม่เห็น แต่ต่อให้ข้ามองไม่เห็น ก็ใช่จะต้องเป็นภาระของผู้อื่นมิใช่หรือ เจ้าวางใจข้าสามารถใช้ชีวิตที่ต่างจากคนตาบอดทั่วไปได้”
หลีซงเป็นห่วงจนหน้าซีด แต่ก็จำต้องออกห่างเขาตามความประสงค์ จากนั้นไม้เท้าจึงทำหน้าที่ดั่งเครื่องมือนำทางให้แม่ทัพหนุ่มต่อ แม้ต้องขึ้นบันไดสุดคับแคบของรถม้า ทว่าชายหนุ่มก็หาได้ก้าวพลาดแม้เพียงครึ่งก้าว หนำซ้ำทุกการเยื้องย่างยังสุขุมเยือกเย็นประหนึ่งเห็นด้วยตาเนื้อ
ชายตาบอดผู้นี้มีนามว่า หลานอี้ซิน เขาเป็นบุตรชายคนรองของใต้เท้าหลาน สมญานาม แม่ทัพไป๋หู่ เพราะเขาสร้างผลงานให้แก่วงศ์ตระกูลไว้มาก ใต้เท้าหลานจึงเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษ
แต่แล้วก็ดั่งสวรรค์กลั่นแกล้ง แม้เขาเอาชนะสงครามมาหลายสมรภูมิ ทว่าก่อนออกนำทัพไปหนานชาง หลานอี้ซินกลับต้องเสียดวงตาไปทั้งสองข้างเสียก่อนกระทั่งกลับกลายมาเป็นปมด้อยของตระกูลหลาน
ด้วยเหตุนี้ใต้เท้าหลานไม่อยากให้อำนาจที่กำลังรุ่งโรจน์ตกเป็นของขุนนางตระกูลอื่น เขาจึงส่งบุตรชายคนโตเข้ารบในสมรภูมิหนานชางแทนที่น้องชาย หนำซ้ำเขายังสามารถคว้าชัยชนะมาได้อีกด้วยแม้จะเรียกว่าหวุดหวิดก็ตาม คุณชายใหญ่หลานจิ้นถงจึงได้รับสมญานามไม่น้อยหน้าน้องชาย นามว่า แม่ทัพชิงหลง
ในยามนี้หลานอี้ซินจึงถูกพักราชการจนกว่าดวงตาจะมองเห็น แม้หมอหลวงต่างส่ายหน้าไร้หนทางรักษา ทว่าหลานอี้ซินกลับมิเคยถอดใจ
ชื่อเสียงของตระกูลหลานจึงดังกระฉ่อนไปทั่วแคว้นจื่อโจวกลายเป็นตระกูลใหญ่อันมากด้วยบารมีล้นหลาม ทั้งยังกุมอำนาจทางการทหารทั้งหมดเอาไว้ และยิ่งตระกูลหลานและตระกูลวูรวมเป็นทองแผ่นเดียวกันได้ ก็ยิ่งเพิ่มพูนความรุ่งเรืองของวงศ์ตระกูลให้โชติช่วงเข้าไปอีก
ดังนั้นขุนนางยศต่ำต้อยเฉกเช่นใต้เท้าไป๋จื่อเหิงจึงหวังก้าวขึ้นบันไดทางลัด ยิ่งล่วงรู้ว่าตระกูลอื่นก็หมายตาสถานะอนุของแม่ทัพชิงหลง เขาก็ยิ่งต้องเร่งส่งไป๋เฉินเซียงเข้าไปโดยเร็ว ด้วยหวังว่าใบหน้าอันพริ้มเพราสะสวยจนสะกดตาบุรุษเช่นนางจะได้รับความโปรดปรานจากแม่ทัพชิงหลง เมื่อถึงยามนั้นตระกูลไป๋ย่อมต้องกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารไปโดยปริยาย
รถม้าเคลื่อนออกห่างจวนสกุลหลานไปเรื่อย ๆ ภายใต้การเดินทางนี้มีสายตาคมกริบของใครบางคนกำลังจ้องอย่างเขม็งเกร็งผ่านม่านความอนธการ
“สืบได้ความหรือไม่ เขาไปรักษาตัวที่ใดกันแน่”
“นายท่าน ข้าน้อยส่งมือสังหารเงาลอบติดตามรถม้าของแม่ทัพไป๋หู่ไปทุกครั้ง ทว่ายามถึงกลางหุบเขา รถม้าก็เลือนหายเข้ากลีบเมฆ ดั่งกับมีวิชาพรางตัว”
มือหยาบกร้านกำหมัดแน่น “จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าคิดว่าเขาเป็นเทพเซียนงั้นรึ จึงหายตัวได้เฉกเช่นอากาศ”
“นายท่าน เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล แต่เดิมเส้นทางนี้เป็นทางที่ไปยังวัดเฉินหลิงในตำนาน หรือว่า…”
“เหลวไหล! วัดนั่นมีจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ หากเจ้าคิดว่ามี เช่นนั้นก็ไปสืบมา ข้าอยากรู้นักว่าออกไปรักษาดวงตาอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ยังมองไม่เห็นเสียที หากเป็นหมอหัตถ์เทวดาจริง เขาไม่มองเห็นนานแล้วรึ หรือว่าเขากำลังจงใจปั่นหัวข้า!” นัยน์ตาคมกริบหรี่ลงด้วยความเคลือบแคลง “เจ้าเพิ่มกำลังคนเข้าไป ครานี้ต้องตามให้พบ คนทั้งคน รถทั้งคัน จะหายไปได้อย่างไร โง่เง่าสิ้นดี!”
“ขอรับ”
.
.
“ศิษย์น้อง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะใช้วิธีพรางกายเป็นบุรุษ หากท่านอาจารย์จับได้ว่าเจ้าซุกซนเพียงนี้ ต้องโดนทำโทษคุกเข่าหลายชั่วยามแน่”
“ศิษย์พี่วางใจ หากท่านอาจารย์อยากลงโทษ เช่นนั้นข้าจะรับผิดไว้เองทั้งหมด ท่านไม่ต้องกลัว เรื่องคุกเข่าข้าทำจนชินชาเสียแล้ว”
นักพรตน้อยเกาจวิ้นถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง นับตั้งแต่เขาได้ศิษย์น้องหญิงคนนี้มา นางก็หาได้ทำให้เขาวางใจได้เลยสักวัน เรื่องการเรียนไป๋เฉินเซียงกระตือรือร้นอย่างมาก นางนับเป็นอัจฉริยะด้านการแพทย์ก็ย่อมไม่ผิด ทว่าเรื่องซุกซนโลดโผนทำตัวดั่งลิงทโมนเช่นนี้ไม่สมกับใบหน้างดงามประหนึ่งยอดพธูเอาเสียเลย
ทั้งสองเดินลัดเลาะลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ไป๋เฉินเซียงมองเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ไกลลิบสมองก็เริ่มประมวลผลและขบคิด
รถม้านี่คุ้นตาข้ายิ่งนัก หรือข้าคิดมากไปเอง
“ศิษย์น้อง”
“…”
“ศิษย์น้อง”
“…”
“ศิษย์น้องไป๋!”
“เจ้าคะ!” ไป๋เฉินเซียงสะดุ้งโหยง ยกมือขึ้นทาบอกเอ่ยเสียงค่อย “ศิษย์พี่ ท่านเสียงดังไปไย ท่านอาจารย์ตามมาหรือเจ้าคะ” ไป๋เฉินเซียงเหลือบซ้ายแลขวาหวาดระแวง
“ขวัญอ่อนจริงแท้ ข้าเรียกเจ้าอยู่นานสองนาน เจ้าก็เอาแต่ใจลอยไปไกลลิบ”
ไป๋เฉินเซียงถอนหายใจโล่งอก “โธ่...เรื่องแค่นี้เอง ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าบังเอิญคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
นักพรตน้อยเกาจวิ้นส่ายศีรษะระอิดระอา ทว่าริมฝีปากกลับประดับรอยยิ้มเอ็นดู “เจ้านี่นา หากเป็นเสือคงถูกขย้ำกลืนลงท้องไปแล้วกระมัง”
“ศิษย์พี่ อย่าดุนักเลย ท่านอายุน้อยกว่าข้าเสียอีกไฉนขยันบ่นกระปอดกระแปดราวกับตาแก่คร่ำครึกัน อีกอย่างกลางป่ากลางดงท่านไม่รู้หรือว่าห้ามพูดถึงเรื่องไม่เป็นมงคล” ไป๋เฉินเซียงยู่หน้า
นักพรตน้อยเกาจวิ้นยิ้มขัน ถึงเขาเด็กกว่าไป๋เฉินเซียง ทว่าตนกลับมองว่านางเป็นดั่งน้องสาวแท้ ๆ ไปเสียแล้ว “ข้าเพียงจะบอกว่ามาถึงแล้วเท่านั้นเอง”
ไป๋เฉินเซียงคลี่ยิ้มลิงโลด ดวงตาหรี่โค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยว “จริงหรือเจ้าคะ”
ร่างระหงหมุนกายขวับ ครั้นเห็นว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังตนก็ผงะจนแทบหงายท้องตึง
“ศิษย์น้องระวัง!”
แขนเรียววาดกลางอากาศดั่งนกกระพือปีก ไม่ทันล้มหกคะเมนให้ต้องอับอาย แขนของนางก็ถูกฝ่ามือกว้างคว้าเอาไว้
“เป็นอะไรหรือไม่”
