chapter 3 คู่ปรับ ปะทะ คนโปรดของคุณแม่
“ผู้หญิงคนนี้สวย” ธมกานต์คิดในใจ ผมยาวสลวยดำสนิทตามธรรมชาติ ใบหน้ารูปไข่ขนตายาว จมูกโด่งเรียวได้รูปริมฝีปากสีชมพูทาลิปสติก สีอ่อนเข้ากับริมฝีปาก ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ รูปร่างสมส่วนทำเอาธมกานต์มองเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“อยากได้ฉันแต่งบ้านสไตล์ไหนคะ” ตรีรินทร์ถามเสียงใส อย่างตั้งใจทำงานทำให้ธมกานต์ที่ตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัว ก่อนจะพูดเสียงมีอำนาจว่า
“ผมอยากได้เฟอร์นิเจอร์ดำ ขาว ผมไม่อยากได้อะไรที่เยอะเกินไปผมอยากได้เฟอร์นิเจอร์ฝีมือคนไทย ผมไม่นิยมของนอก อยากได้ต้นไม้แถวเทอร์เรส เยอะๆหน่อย ส่วนห้องนอนผมไม่อยากได้อะไรมาก เพราะส่วนใหญ่ผมจะนอนกับแม่ที่ตึกใหญ่ บ้านนี้ผมมีไว้รับรองเพื่อนและแขกที่มาพัก คุณช่วยดูให้หน่อยแล้วกัน ผมไม่มีหัวทางนี้ เอาแบบเรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์” ธมกานต์พูดจบหมุนเก้าอี้ก่อนจะก้าวเดินไปยืนที่ข้างหน้าต่าง
“มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามขณะที่กำลังก้มลงจดรายละเอียดโดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มลอบมองตนเอง อย่างมีความหมาย
“เอาไว้คิดอะไรออกผมจะบอก” ธมกานต์พยายามปรับเสียงให้เรียบเฉย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวกลับก่อน”
“เอามือถือมาหรือเปล่า”
“เอามาสิคะ มีอะไรเหรอ”
ธมกานต์เหลือบเห็นตรีรินทร์วางมือถือไว้บนโต๊ะข้างสมุดโน๊ต ก็เลยหยิบมือถือของหญิงสาวพร้อมกับกดเบอร์ส่วนตัวของตัวเอง
“นี่เบอร์ส่วนตัวผม” ธมกานต์ยื่นมือถือคืนให้หญิงสาว
“เสียมารยาท” ตรีรินทร์ต่อว่าพร้อมจะลบเบอร์ออก
“ห้ามลบเบอร์ผมออกเด็ดขาด คุณคิดว่าอะไร ผมไม่ได้พิศวาสจนต้องโทรไปคุยกับคุณมากมายอะไรหรอก ผมจะคุยกับคุณเรื่องงานเรื่องบ้านของผม คุณคงไม่หลงตัวเองว่าผมจะพิศวาสคุณหรอกนะ” น้ำเสียงธมกานต์ดังเข้ม
‘อีตาบ้า’ ตรีรินทร์ด่าชายหนุ่มในใจ
“ก็โทรเข้าบริษัทสิคุณ คุณรู้จักคุณพงษ์นี่คะ ไม่เห็นจำเป็นต้องมีเบอร์ส่วนตัวฉันเลย”
“ผมต้องโทรหาคุณได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่ได้ไหมตกลงคุณต้องการเวลาเท่าไหร่ สำหรับแบบตกแต่งในบ้านผม”
“อย่างน้อยก็สิบวัน”
“ผมให้เวลาคุณแค่ห้าวัน”
“บ้า ใครจะไปเขียนทัน คุณอยากได้งานดี หรืองานที่ทำลวกๆล่ะ”
“ผมต้องการที่เร็วและดี ผมให้เวลาแค่นั้น ทำไม่ได้ผมจะไปให้บริษัทอื่นทำ”
‘อีตาบ้า ทำเป็นวางอำนาจ ทุเรศ’ ตรีรินทร์ด่าชายหนุ่มในใจพร้อมกับสูดลมหายใจอย่างสะกดกลั้นอารมณ์
“คุณกลับไปได้แล้ว ผมจะโทรไปขออัพเดทงาน บางทีผมจะขอนัดดูแบบภายในต้นอาทิตย์หน้า ทำได้ไหมหรือจะให้ผมหาบริษัทอื่นทำ”
“ไม่ต้องมาขู่ คุณเป็นลูกค้านี่คะ ยังไงฉันก็จะทำเต็มความสามารถก็แล้วกัน ไม่รับปากหรอก แต่ฉันอยากไปดูสถานที่จริง ขอที่อยู่ที่บ้านคุณได้ไหมคะ ”
“พรุ่งนี้เย็นผมจะแวะไปรับที่บริษัท แล้วพาไปดูที่บ้านด้วยกัน ”
“โอ๊ย ไม่ต้องรบกวนหรอกค่ะ ฉันไปเองได้ พรุ่งนี้บ่ายๆ ฉันแวะไปคนเดียวดีกว่า ฉันอยากทำงานคนเดียว คงต้องดูสถานที่สักพัก ฉันไม่อยากรบกวนคุณ” ตรีรินทร์กล่าวเร็วเสียงสูง
“ไม่รบกวนหรอก ก็คุณจะมาแต่งบ้านให้ผม ยังไงอย่างน้อยครั้งหนึ่งผมควรพาคุณไปดูสถานที่ จริงไหมคุณตรีรินทร์ เอ คุณนี่แปลกๆ ดูจะกลัวผมชอบกลหรือไงคุณตรีรินทร์”
‘ฉันไม่ได้กลัวคุณย่ะ ฉันเกลียดคุณต่างหาก’ ตรีรินทร์ตะโกนดังๆในใจ แต่นิ่งเงียบจนทำให้ธมกานต์ มองด้วยความสงสัย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันลานะคะ”
“พรุ่งนี้ประมาณหกโมงเย็น ผมไปรับไปดูบ้าน”
“ได้ยินไหม คุณตรีรินทร์” เสียงดังเข้มกล่าวย้ำ
“ได้ยินค่ะ”
ตรีรินทร์พนมมือไหว้ลาก่อนเดินจากไป.ธมกานต์มองตามร่างหญิงสาวสวยอย่างงุนงงกับท่าทางของหญิงสาว
ณ บ้าน พิพัฒนพงค์
“ฝนตกหรือวันนี้ ลูกชายอยู่ติดบ้าน” คุณหญิงมณีจันทร์ทักทาย ลูกชายที่นอนดูกีฬา ด้วยเสื้อผ้าอยู่บ้าน
“ไม่ดีหรือไงครับแม่ ว่าแต่แม่เถอะไปไหนมาฮะ”
“กลับจากวัดจ๊ะ ไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนมา”
“สาธุ” พูดพร้อมพนมมือ ยกไว้เหนือศีรษะ
“เจ้ากานต์อย่ามาล้อแม่”
“ผมไม่ได้ล้อสักหน่อย แม่ทานอะไรมาหรือยังครับ ผมให้จิตเค้าเก็บอาหารไว้ก่อน ผมรอทานพร้อมแม่”
“โถ ทีหลังไม่ต้องรอนะลูก ได้เวลาก็ทานเถอะ แม่รู้ว่ากานต์เหนื่อย”
“วันนี้เป็นไง เจอหนูรินทร์แล้วใช่ไหม สวยไหมน่ารักหรือเปล่า” น้ำเสียงคุณหญิงมณีจันทร์ตื่นเต้น
“ก็งั้นๆ แหละแม่จืดสนิท” ธมกานต์กล่าวเซ็งๆ
“แกนี่ไม่มีตา ตาต่ำ มีตาหามีแววไม่ รู้ไหม หนูรินทร์เนี่ยดาวมหาวิทยาลัยเลยนะแก”
ธมกานต์เชื่อสายตาผู้เป็นแม่แต่จำต้องวางฟอร์มไว้ก่อน
“กานต์ เชื่อสายตาแม่สิ ผู้หญิงคนนี้แหละที่จะทำให้กานต์มีความสุข ลอยไปลอยมา คบคนโน้น เลิกคนนี้ แล้วเมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลาน แม่แก่แล้วนะกานต์” คุณหญิงมณีจันทร์นั่งลงข้างๆ ตัวลูกชาย ที่ยังนอนดูกีฬาก่อนจะลูบศีรษะไปมา
“แม่อยากเห็นกานต์มีใครที่มาช่วยดูแลกานต์ แทนแม่ถ้าแม่เป็นอะไรไป แม่จะได้ตายตาหลับ”
ธมกานต์ลุกขึ้นนั่งก่อนจะโอบรอบเอวผู้เป็นแม่ ก่อนจะพูดว่า
“โถ แม่อย่ามาใช้มุขนี้เลย แม่ของกานต์ยังสาวยังสวย ยังอยู่กับกานต์ได้อีกนานไว้กานต์เจอใคร ที่กานต์อยากหยุดชีวิตโสด กานต์จะพามาแนะนำให้แม่รู้จัก แต่ตอนนี้เวลานี้ ขอกานต์ใช้ชีวิตโสดให้คุ้มก่อนนะแม่ รออีกหน่อยนะครับ”
“สงสัยแม่จะรอไม่ไหว ต้องไปรอในโลงซะก่อนกานต์ แม่ขอโทษที่แม่กับพ่อ อาจเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีทำให้กานต์ไม่เคยเชื่อเรื่องความรัก..แต่กานต์อย่าโทษพ่อเค้าเลยนะลูก อาจเป็นเพราะแม่ผิดเองที่แม่บกพร่อง ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของพ่อเค้าได้เต็มที่เค้าเลยไปหาข้างนอก แต่แม่เชื่อว่ากานต์ของแม่ต้องไม่เป็นอย่างนั้น แม่เลี้ยงกานต์มาแม่เชื่อมั่นในตัวกานต์ลูกของแม่ เชื่อเถอะว่ารักแท้มีอยู่จริงแม่อาจจะโชคไม่ดีแต่แม่เชื่อว่ากานต์ต้องมีชีวิตที่ดีกว่าแม่และพ่อ” น้ำเสียงคุณหญิงมณีจันทร์สั่นเครือ
ธมกานต์ไม่ปฏิเสธว่า ที่เค้าใช้ชีวิตเสเพล ไม่เคยรักใครจริง ใช้ชีวิตโสดอย่างโชกโชน ส่วนหนึ่งมาจากที่เค้ามีชีวิตครอบครัวไม่สมบูรณจำได้เสมอว่าตอนเด็กๆเค้าต้องเห็นแม่มานั่งรอพ่ออยู่ดึกดื่น ทุกคืน บางทีก็มีโทรศัพท์จากบ้านเล็กๆ มาทำให้แม่ของเขาต้องเสียใจ ตั้งแต่เล็กจนโต เค้าจะเห็นน้ำตาของแม่บ่อยๆ จนเป็นความเจ็บฝังใจ ไม่เคยเชื่อเรื่องความรัก ไม่รักใครจริง และไม่จริงจังกับใครเกินสามเดือน
“ว้า แม่อย่าซีเรียสเลยนะครับ ไปทานข้าวดีกว่า กานต์สัญญา ถ้าหาผู้หญิงได้ไม่ดี กานต์จะไม่แต่งงาน ดีไหมครับ” ธมกานต์รีบจูงมือผู้เป็นมารดา ก่อนเดินตรงไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร
“ไปฮะแม่ อาหารน่ากินทั้งนั้นเลย พรุ่งนี้จะพาคนโปรดของแม่มาดูบ้านเค้าอยากมาดูเพื่อเป็นไอเดียในการเขียนแบบ”
“ก็ดีนะสิ เดี๋ยวแม่จะชวนหนูรินทร์ทานข้าวเย็นด้วย อืมชักนึกสนุกแล้วสิ” น้ำเสียงและแววตาของมารดาที่สดใสแวววาว ทำให้ธมกานต์รู้สึกประหลาดใจเพราะไม่เห็นบ่อยนักที่มารดาจะกระตือรือร้นจะเป็นก็ตอนที่บิดากลับมาทานข้าวที่บ้าน ซึ่งก็นานๆ ครั้ง
