Ep.4
“อีกไม่กี่วันเตี่ยคงจะหลุดจากตำแหน่งเก้าอี้ผู้บริหาร ทาคุมิ ซัง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอแล้ว และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการอาทิตย์หน้า อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารหลายคนในบริษัท แต่ผลเสียตกอยู่ที่เรา ทาคุมิ ซัง เป็นลูกชายของคุณทาคาชิเจ้าของบริษัทแม่ และกำลังจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ทีเอ็มซี พิบูลชัย ถึงเจ็ดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า เขาจะมีอำนาจและบทบาททั้งทางตรงและอ้อมแต่เพียงผู้เดียว และเตี่ยรู้ว่า ทาคุมิ ซัง เขาเป็นคนดี เขาจะสามารถดูแลลูกให้อยู่อย่างสุขสบายได้ในอนาคต”
‘อย่าบอกนะว่าบิดาของเธอกำลังคิดจะยกเธอให้กับทาคุมิจริงๆ’
...ไม่เอาหรอก ทาคุมิ ไม่ใช่ผู้ชายที่ในสเปคของเธอสักนิด หน้าตาแข็งกระด้างเย็นชาอย่างกับหุ่นยนต์ เหมือนผู้ชายไร้ความรู้สึก อยู่ใกล้แล้วอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก...
คนเป็นพ่อหยุดพูดแล้วมองหน้าลูกสาว ก่อนจะตอบให้ตรงคำถามว่า
“เตี่ยตกลงยกหนูให้เป็นคู่หมั้นของทาคุมิซังแล้ว”
คนเป็นพ่อรู้สึกละอายใจพอสมควรที่ตัดสินใจโดยพละการเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว แต่ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อต้องการให้บุตรสาวที่เคยอยู่อย่างสุขสบายและสง่างามอย่างนางหงส์ให้เป็นนางหงส์ต่อไป ไม่อยากให้เธอกลายเป็นเพียงลูกเป็ดลูกไก่ที่ต่ำต้อยในสายตาของคนที่อยู่ระดับเดียวกันกับเขา
“เตี่ย!!”
ใบหน้าสวยหยาดเยิ้ม ส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่เชื่อหู ทำไมบิดาของเธอถึงทำอะไรไม่ปรึกษาถามความยินยอมพร้อมใจจากเธอเสียก่อน ทำไมท่านถึงเผด็จการแบบนี้
“เตี่ยรักและหวังดีกับลูกนะ เตี่ยถึงได้ทำแบบนั้น”
“ไม่จริง เตี่ยรักธุรกิจของเตี่ยมากกว่า เตี่ยถึงยอมขายหนู”
หัวใจของคนเป็นพ่อหล่นวูบ เมื่อลูกสาวสุดที่รักกล่าวหาเขาเช่นนั้น คำว่า ‘ขายลูก’ มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาเลย หากไม่เห็นว่าทาคุมิแสดงออกว่ารักและปรารถนาดีต่อมนต์นรีจริงๆ เขาคงไม่กล้ารับปาก และทางพ่อแม่ของฝ่ายชายก็รับทราบแล้วด้วย อีกไม่กี่วันพ่อแม่ของทาคุมิก็คงจะมาสู่ขอมนต์นรีอย่างเป็นทางการและคงจะกำหนดฤกษ์แต่งงานในวันนั้น
“เตี่ยไม่ได้ขายหนูนะมินนี่ เตี่ยเห็นว่าลูกยังไม่มีใคร และคุณทาคุมิเขาก็เป็นคนดีมีฐานะ เหมาะสมกับลูกทุกอย่าง เขาชอบลูก แล้วเขายังบอกอีกว่าเขารักลูก”
“แต่หนูไม่ได้รักเขานี่คะ เตี่ยก็รู้ แล้ว...ถ้าหนูขอปฏิเสธ จะได้ไหมคะ”
ความเงียบของบิดา ทำให้มนต์นรีรู้สึกใจคอไม่ดี เธอรู้ว่าบิดาเป็นคนรักษาสัจจะของตนเองมากแค่ไหน ท่านไม่เคยผิดคำพูดหรือผิดสัญญากับใครมาก่อน การที่ท่านตอบตกลงยกเธอให้กับทาคุมิ เธอพอจะรู้เหตุผลอยู่หรอก ว่าท่านทำไปเพื่ออะไร
“ทางพ่อแม่ฝ่ายชายรับรู้แล้ว ยังไงลูกก็ต้องแต่งงานกับเขา หากลูกปฏิเสธ ลูกคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“หนูไม่ยอม หนูไม่ชอบทาคุมิซัง เขาไม่เหมาะสมกับหนูหรอก ที่สำคัญหนูไม่ได้รักเขา และไม่คิดจะรักด้วย”
พ่อของเธอก็แค่เห็นว่าทาคุมิเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทแม่ที่ทำธุรกิจร่วมกัน เห็นว่าเขาจะสามารถช่วยพยุงธุรกิจของพิบูลชัยได้ พ่อก็คงหวังจะใช้เธอเป็นสะพานเชื่อมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พิบูลชัยไม่ให้ธุรกิจการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิปิดฉากลงโดยที่ไม่เหลืออะไร
ที่จริงเป็นตัวแทนขายรถยนต์ประเทศอื่นยี่ห้ออื่นก็ได้นี่ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน หรือไม่ก็ขยายบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ทำอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วให้ใหญ่โตขึ้นก็ได้ก็ไม่เห็นว่ามันจะทำให้ฐานะทางครอบครัวแย่ลงตรงไหน ทุกวันนี้ก็เหลือกินเหลือใช้มากพออยู่แล้ว ไม่เข้าใจความคิดของบิดาของเธอเลยจริงๆ
“แล้วผู้ชายคนไหนที่เหมาะสมกับลูก เตี่ยขอถามหน่อยเถอะ ใช่พวกพระเอกละคร นายแบบไฮไซ หรือพวกผู้ชายที่ลูกเป็นข่าวทุกๆ สามเดือนแล้วเลิกนั่นเหรอ คือผู้ชายในสเปค เตี่ยก็ไม่เห็นจะมีใครเข้าตาสักคน คุณทาคุมินั่นแหละเหมาะสมกับลูกที่สุดแล้ว” คนเป็นพ่อยืนยันเสียงแข็ง
“ไม่เหมาะสมสักนิดค่ะเตี่ย และเขาก็ไม่ใช่สเปคหนูด้วย เตี่ยบอกมาดีกว่าค่ะว่า พอจะมีวิธีไหนที่จะทำให้หนูไม่ต้องแต่งงานกับเขา ที่สำคัญไม่ทำให้เตี่ยเสียคำพูดด้วย”
ร่างสูงภูมิฐานสูดหายใจเข้าปอดหนักๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างหนักใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า การที่เขาหวังดีกับลูกสาวและทำเพื่อธุรกิจของครอบครัวโดยการตอบตกลงยกมนต์นรีให้แต่งงานกับทาคุมิเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่เขาก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว และยังไม่คิดจะเปลี่ยนใจ
“มีอยู่หนทางเดียวที่พ่อพอจะแนะนำได้ คือให้คุณทาคุมิเป็นคนยกเลิกงานหมั้นหมายและงานแต่งงานด้วยตัวของเขาเอง แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงอาทิตย์ ทางครอบครัวของคุณทาคุมิก็จะเดินทางมาเมืองไทยเพื่อสู่ขอลูกแล้ว”
อันที่จริงเรื่องการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถต์มิตซูบิชิจะต้องปิดฉากลงยังไม่หนักใจเท่าการเสียคำพูดสำหรับคนที่ยึดถือสัจจะมากกว่าสิ่งใดอย่างท่านเจ้าสัวอนันต์เลย
เวลาไม่ถึงอาทิตย์เธอจะแก้ปัญหาได้อย่างไร มนต์นรีพยายามหายใจเข้าปอดลึกๆ อย่างพยายามควบคุมอารมณ์ร้อนรุ่มที่พวยพุ่งลุกท่วมกาย เพราะมันรวดเร็วแบบนี้นี่เอง มิน่าเล่า...บิดาของเธอถึงได้รีบร้อนเรียกตัวเธอกลับบ้านอย่างกะทันหันทั้งที่เธอยังไม่หมดเวลาพักร้อน มนต์นรีรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่อดคิดไม่ได้ว่า บิดาของเธอไม่ถามความสมัครใจของเธอเลยสักคำ ท่านรักธุรกิจของครอบครับมากกว่าที่จะแคร์ความรู้สึกของเธอเสียอีก
“เตี่ยใจร้าย”
“มินนี่ เตี่ยรักและหวังดีกับลูกจริงๆ นะ”
“ไม่จริง เตี่ยไม่ได้รักหนูมากไปกว่าธุรกิจของเตี่ยหรอกค่ะ”
“มันไม่ใช่แบบนั้นนะมินนี่ เตี่ย...”
คนเป็นพ่อรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยที่จะต้องอธิบายบางอย่างที่ฟังดูเหมือนเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่เพราะคิดตรึกตรองทุกอย่างมานานแล้ว เขามั่นใจว่าถ้ามนต์นรีได้แต่งงานกับผู้ชายอย่างทาคุมิ มนต์นรีจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ
“ถ้าเตี่ยรักหนู เตี่ยก็โทรไปบอกยกเลิกการหมั้นหมายสิคะ”
“ไม่ได้หรอกลูก เตี่ย...เตี่ยได้ลั่นวาจาไปแล้ว ยังไงลูกก็ต้องได้แต่งงานกับคุณทาคุมิ ตามที่เตี่ยกับพ่อของคุณทาคุมิได้ตกลงกันเอาไว้”
ความจริงแล้วมันมีเหตุผลที่ละเอียดอ่อนมากกว่านั้น ที่ทำให้ผู้ที่เป็นแกนนำขับเคลื่อนธุรกิจของพิบูลชัยอย่างท่านเจ้าสัวอนันต์ไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นคำพูดให้ลูกสาวฟังได้ทั้งหมด ทั้งที่เขาเองก็ปวดใจไม่น้อยที่ต้องบังคับฝืนใจลูกสาวสุดที่รัก แต่ที่ทำไปทุกอย่างก็เพื่อทุกคนในครอบครัว
มนต์นรีน้ำตาคลอหน่วย แอบน้อยใจบิดาลึกๆ แต่ไหนแต่ไรมาบิดาของเธอตามใจเธอมาโดยตลอด อยู่ๆ ท่านก็มาบังคับให้เธอแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รักเสียอย่างนั้น เธอทำใจไม่ได้จริงๆ
“หนูไม่แต่ง ยังไงหนูก็ไม่แต่ง”
“ไม่แต่งไม่ได้นะลูก” ร่างระหงหันขวับไปทางต้นเสียงอ่อนโยนนั้นทันที
“คุณแม่! นี่คุณแม่ก็เห็นด้วยกับเตี่ยเหรอคะ” เธอถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ในเมื่อมารดาของเธอตามใจเธอมาตลอดเช่นกัน เรียกว่าแทบจะไม่เคยขัดใจเธอเลยก็ว่าได้
“ใช่ลูก แม่เห็นด้วยกับคุณพ่อ หากลูกไม่เห็นแกพ่อแม่ ก็ให้เห็นแก่ปู่กับย่าที่เป็นทั้งโรคความดันและโรคหัวใจนะลูก หากท่านทั้งสองต้องมารับรู้ว่าธุรกิจที่พวกท่านก่อตั้งมาเป็นสามสิบสี่สิบปีต้องปิดฉากลงในอีกสองสามเดือนข้างนี้ พ่อแม่กลัวว่า...กลัวว่า...”
“หนูพอเข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นบอกหนูได้ไหมคะ ว่าอีกกี่วันญาติผู้ใหญ่ของคุณทาคุมิจะมาบ้านเรา”
