Ep.2
ก่อนที่จะมนต์นรีจะทันได้คิดอะไรต่อ ร่างอรชรก็ถูกเบี่ยงออกอย่างแรงจนเสียหลัก พร้อมกับร่างเพรียวบางสมส่วนของสาวสวยนางหนึ่งเบียดแทรกเข้ามาตรงกลางอย่างเสียมารยาท พร้อมกับที่เจ้าหล่อนปรายตามองมาทางเธออย่างไม่พอใจแกมสะใจ ก่อนจะหันหน้าไปทางเจ้าของร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทยที่มีผมสีบลอนด์เข้มด้วยสายตาพราวระยับอย่างดีใจ
ทั้งที่เห็นสวรรค์อยู่รำไร เฮ็นริคก็รู้สึกเหมือนมีนรกมารออยู่ตรงหน้า สายตาคมกวาดมองร่างสูงระหงส์ในชุดเดรสเปลือยหัวไหล่สีบานเย็นรัดรูปสั้นจู๋ บนรองเท้าส้นแหลมสูงประมาณสี่นิ้วด้วยสีหน้าเซ็งที่สุดในชีวิต กว่าเขาจะสลัดหล่อนหลุดออกไปจากชีวิตได้มันยากเย็นแสนเข็ญ ทั้งที่ไม่อยากเจอกลับต้องมาเจอง่ายๆ โดยไม่คาดฝัน โลกนี้มันกลมจริงๆ
ทว่าเจ้าของดวงหน้าสวยเปรี้ยวที่แต่งแต้มมาอย่างประณีตกลับยิ้มหวานอย่างประจบ เพราะว่ามหาสมุทรไม่ได้กว้างอย่างที่ใครๆ คิด เธอจึงมีโอกาสได้เจอกับเฮ็นริคและกำลังจะได้ร่วมงานกับเขาตามที่บิดาสั่ง แล้วนางแบบสาวก็นึกไปถึงวันที่ได้คุยกับบิดาในวันที่เซ็งกับชีวิตสุดๆ ต้นเหตุที่ทำให้เธอได้มารับเจ้าพ่ออุตสาหกรรมยานยนต์แห่งฮัมบูร์กในวันนี้
“สวัสดีค่ะเตี่ย ตะลึงในความสวยของลูกสาวจนพูดไม่ออกเชียวเหรอคะ” วันนั้นเธอถูกบิดาเรียกเข้าพบหลังจากกำลังแต่งตัวจะออกไปช้อปปิ้ง
ดวงตากลมโตใต้คิ้วเรียวที่บรรจงวาดเกือบครึ่งชั่วโมงทอประกายหงุดหงิดออกมา เมื่อเจ้าของร่างสูงภูมิฐานในชุดสูทสีเทาเงินตีหน้ายักษ์ใส่ สงสัยจะโดนบ่นเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว
“ยัยเกว! ที่นี่มันที่ทำงานนะ แต่งกายให้เกียรติสถานที่หน่อยได้ไหม อย่างน้อยก็ไว้หน้าเตี่ยบ้าง ดูแต่งตัวเข้าสิ อย่างกับผู้หญิงราคาถูก”
ดวงตาที่มีแววตำหนิติเตียนตวัดมองร่างระหงตรงหน้าขึ้นลงจากหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ก่อนจะดุว่าลูกสาวคนเล็กตรงๆ จนใบหน้าสวยเฉี่ยวเจื่อนลง บูดบึ้งงอง้ำอย่างขัดใจ ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนตำหนิ แต่มันก็เซ็งทุกครั้งที่บิดาเอ็ดเอา
“เตี่ยว่าหนูอีกแล้วนะคะ เตี่ยไม่เบื่อบ้างหรือไงตำหนิหนูได้ทุกวี่ทุกวัน วันนี้หนูอุตส่าห์อารมณ์ดีสุดๆ แล้วนะคะ แล้วไอ้ชุดที่ใส่เนี่ย ก็ถือว่าสุภาพเรียบร้อยสุดๆ แล้วด้วย”
คุณหนูผู้เอาแต่ใจโต้กลับเสียงห้วนๆ เตี่ยของเธอนี่ช่างไม่เข้าใจอารมณ์วัยรุ่นเลยจริงๆ ไม่เคยเข้าใจหัวอกลูกสาวของตนเองเลยสักครั้ง ไม่เหมือนกับแม่ของเธอที่เข้าอกเข้าใจตามใจสารพัด ทั้งที่ปกติเธอชอบแต่งตัวเปรี้ยวกว่านี้หลายเท่า การสวมชุดเดรสเข้ามาในบริษัทถือว่าไม่ผิดสำหรับลูกสาวของท่านประธานใหญ่แห่งอัครพิบูล กรุ๊ป
‘สำหรับเธอแล้วมันคือข้อยกเว้นทุกกรณี’
เกวลินคิดเข้าข้างตนเองแบบสุดๆ พลางก้มมองชุดที่ตนเองสวมใส่ด้วยใบหน้าที่ยังบูดบึ้งเช่นเดิม เพราะเจอหน้าบิดาทีไรเธอต้องถูกตำหนิเรื่องการแต่งตัวทุกครั้งไป
“อย่าเพิ่งมาเถียงเตี่ย นั่งลงก่อนสิ วันนี้เตี่ยมีข่าวดีจะบอก”
เจ้าของร่างอรชรนั่งลง วางกระเป๋าสะพายชาแนลสีดำลงบนโต๊ะ ก่อนจะทำหน้างอง้ำถามผู้เป็นบิดาเชิงประชดนิดๆ
“ข่าวดีหรือว่าข่าวร้ายกันแน่คะ”
“เตี่ยมั่นใจ ว่ามันคือข่าวดีสำหรับลูกนะ ตอนนี้บริษัทของเรากำลังขยับขยายมากขึ้น มีทั้งผู้สนใจจะร่วมหุ้นกับเรามากมาย ขณะเดียวกันคู่ค้าที่ทำธุรกิจกับเรามานานก็อาจจะแยกตัวเป็นอิสระไปเป็นผู้ลงทุนเสียเอง พอถึงตอนนั้นเราอาจจะตกที่นั่งลำบาก แต่สำหรับคุณฟาลิกผู้กุมบังเหียนแห่งบีเอ็นซี กรุ๊ป คู่ค้ารายล่าสุดของเราเตี่ยได้ยินข่าวแว่วๆ มาว่า เขาอยากจะมาร่วมทุนกับเรา เตี่ยจึงคิดว่านี่น่าจะเป็นข่าวดีของพวกเราทุกคนที่จะได้สานสัมพันธไมตรีกับเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งเยอรมนีอีกเจ้าหนึ่งให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น อีกสามวันคุณฟาลิกจะส่งลูกชายคนเล็กของเขามาดูงานที่นี่ เตี่ยอยากให้ลูกเตรียมตัวต้อนรับเขาด้วยในฐานะลูกสาวของเตี่ยและเจ้าของบริษัท”
“แค่เตรียมตัวต้อนรับผู้ร่วมหุ้นคนสำคัญ ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหนนี่คะ มีพี่กฤษณ์ลูกชายคนโปรดของเตี่ยอยู่ทั้งคน เตี่ยไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกหนูให้มารับงานนี้เลยนะคะ”
เกวลินรักงานอิสระมากกว่าที่จะมาเป็นสาวออฟฟิซในบริษัทของบิดา เธออยู่วงการถ่ายแบบและโฆษณามาสองสามปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิงเต็มตัวเพราะต้องปลีกเวลามาช่วยบิดาทำงานในบริษัทด้วยนั่นเอง
“เตี่ยคิดว่าลูกชายของคุณฟาลิกคงไม่ได้มาดูงานอย่างเดียวหรอกนะ คิดว่าเขาคงอยากจะมาเที่ยวเมืองไทยด้วย ความจริงพ่อก็อยากให้เจ้ากฤษณ์มันรับงานนี้นะ แต่ลูกก็น่าจะรู้ว่าพี่ชายของลูกมีงานล้นมือ อีกอย่างทางโน้นเขาก็โทรมาย้ำนักย้ำหนาว่า เขาขอคุยงานกับคนที่สามารถพูดภาษาเยอรมันเก่งๆ เท่านั้น และต้องเป็นคนสำคัญของบริษัทด้วย ซึ่งเตี่ยก็มองไม่เห็นใคร นอกจากเกว”
ดวงตาคมกริบที่มองการณ์ไกลของผู้นำแห่งอัครพิบูล กรุ๊ป ทอประกายไหววูบแวบหนึ่งก่อนจะปรับมาเป็นเรียบนิ่งดังเดิม โดยที่บุตรสาวไม่ทันสังเกตเห็น
“แล้วลูกชายของคุณฟาลิกอะไรนั่นพูดภาษาบ้านเกิดของตนเองเป็นอยู่ภาษาเดียวหรือยังไงคะ ถึงได้เจาะจงเสียขนาดนั้น” เกวลินกระแทกเสียงเย้ยหยันคล้ายจะดูถูกอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ยัยเกว!”
“เตี่ย! หนูพูดผิดตรงไหนคะ ทำไมต้องตะคอกใส่หนูด้วย” ใบหน้าสวยงอง้ำเมื่อเริ่มแอบน้อยใจที่บิดามักจะตะคอกใส่เธอบ่อยๆ ซึ่งมันช่างต่างกับตอนที่ท่านพูดคุยกับพี่ชายของเธอมากเหลือเกิน
“เอาล่ะๆ นั่งลง เกว” สั่งพร้อมกับจับไหล่แบบบางสองข้างให้เจ้าตัวนั่งลงบนเก้าอี้หรูอีกครั้งอย่างใจเย็นมากกว่าเดิม
“อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ หน่อยเลยน่าลูก ฟังเตี่ยพูดให้จบก่อนสิ บางทีลูกอาจจะเปลี่ยนใจ”
เกวลินยังหน้าบูดบึ้งเมินมองไปทางอื่นโดยไม่ยอมหันไปสบตาผู้เป็นพ่อ จนคนที่กำลังตั้งใจจะพูดอย่างเป็นงานเป็นการต้องส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา แต่ก็จำเป็นต้องพูด
“ลูกเป็นคนเดียวที่ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยถึงกรุงเบอร์ลิน พูดภาษาเยอรมันก็เก่งกว่าเจ้ากฤษณ์มัน และเตี่ยก็รู้ว่าเกวเป็นคนมีความสามารถสูง เกวช่วยงานเตี่ยมานานพอสมควร งานนี้เตี่ยจึงคิดว่าเหมาะกับเกวมากที่สุด”
คนฟังแอบทอดถอนใจเฮือกใหญ่ สงสัยว่างานถ่ายแบบวีคหน้าของเธอคงต้องเลื่อนออกไปอีกแน่ แต่ดวงตาคู่สวยที่กำลังมีแต่แววยุ่งยากใจกลับเบิกกว้างขึ้นเมื่อรูปใบหนึ่ง ถูกยื่นมาตรงหน้า
“นี่คือ เฮ็นริค ลูกชายคนเล็กของคุณฟาลิก รู้จักหน้าค่าตาเอาไว้เสียสิ เตี่ยจะให้ลูกไปรอต้อนรับเขาที่สนามบินเลย เขาจะได้ประทับใจ”
เกวลินแทบจะไม่ได้ฟังที่บิดาของเธอพูดเลยด้วยซ้ำ เพราะภาพใบหน้าหล่อเหลาดูมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจตรงหน้ากำลังทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวแรงขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มันห่อเหี่ยวมานานเป็นแรมเดือน
‘โอกาสมาอยู่ในมือของเธออีกครั้งแล้ว คราวนี้เธอจะไม่เป็นสาวน้อยอ่อนหัดอีกต่อไป’
“เตี่ยบอกว่าเขาจะเดินทางมา เมื่อไหร่นะคะ” เกวลินถามเสียงแผ่วเบาคล้ายคนละเมอ แต่ทว่าดวงตาสวยซึ้งกลับจ้องมองภาพในมือด้วยประกายตาวาววับไม่กะพริบ
“อีกสามวัน”
และวันที่เธอรอคอยก็มาถึง ต่อให้เขาเคยสลัดเธอทิ้งอย่างไม่ใยดี ต่อให้เขาไม่ได้รักเธอ แต่สำหรับเธอแล้ว เฮ็นริคคือผู้ชายในสเปคที่เธอหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้เป็นเมียที่เชิดหน้าชูตาของเขาให้ได้ เธอยอมพลีกายให้เจ้าพ่อคาสโนวาแห่งฮัมบูร์กได้เชยชม หวังว่าเขาจะเห็นค่าของเธอ เห็นว่าเธอเป็นคนสำคัญ แต่ชายหนุ่มกลับมองไม่เห็นหัวใจที่ภักดีของเธอ เขาหันเหความสนใจไปหา ‘ยัยซิลเวีย’ หลังจากพบมันไม่กี่ครั้ง มันน่าเจ็บใจนัก
