ตอนที่ 4 .1 ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน
ตอนที่ 4 .1 ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน
นับแต่วันที่ได้รับราชโองการสมรสพระราชทานก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว ทำให้ในสกุลจางต่างวุ่นวายเรื่องการเชื้อเชิญเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลมาร่วมงาน
ญาติสายรอง สายสามที่แยกไปตั้งหลักปักฐานต่างเมืองก็ถูกเชิญกลับมาร่วมพิธีมงคลสมรสสำคัญในครั้งนี้ด้วย
สีหน้าเหล่าญาติพี่น้องย่อมแตกต่างกันออกไป บ้างยินดีราวกับรับโชคใหญ่ หวังพึ่งพาเกาะเกี่ยวบารมีหลานเขยที่มีบรรดาศักดิ์ขั้นปั๋ว บ้างก็มี
สีหน้าย่ำแย่
โดยเฉพาะระดับผู้อาวุโสซึ่งถือกฎตระกูล หัวคิ้วผู้เฒ่าขมวดมุ่นคล้ายวิตกกังวลตลอดเวลา แววตาผิดหวังท้อแท้ ท่าทางห่อเหี่ยวหดหู่ นึกขุ่นเคืองฝ่าบาทที่ตัดสินพระทัยโดยไม่ปรึกษาสักคำ
พลันนึกคิดในใจว่าอย่างไรจางห้าวก็ดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองเจ้ากรมพิธีการขั้นสี่ แม้จะมีอำนาจไม่มากเท่าเจ้ากรมทั้งหกหรือผู้บัญชาการสามสำนัก
แต่ก็นับได้ว่ามีผลงานอยู่ไม่น้อยเลย ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของตระกูลจาง แต่กลับมิใช่ขุนนางคนสำคัญพอให้ฝ่าบาทตรึกตรอง
ใส่ใจ
“ฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่” ผู้อาวุโสเฒ่าผมขาวโพลน
ถือไม้เท้านั่งบ่นประโยคนี้ตั้งแต่บ่ายยันเย็น แววตาเป็นประกายกร้าวขึ้นทุกคราด้วยความไม่พอใจ
ตระกูลขุนนางพลเรือนตบแต่งขุนนางฝ่ายทหาร เนิ่นนานแล้วแคว้นสือจ้าวไม่เคยมีประวัติศาสตร์เขียนระบุการดองญาติข้ามฝักฝ่าย
มาก่อน คราวนี้สกุลจางกลับต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ทางสกุลจางไม่ชอบใจเอาเสียเลย
จางห้าวสบตาฮูหยินผู้เฒ่า ผู้เป็นมารดานับครั้งไม่ถ้วน ความรู้สึกสองแม่ลูกเจือความทอดถอนใจและจนปัญญา ใครไหนเล่าอ่านพระทัยโอรสสวรรค์กระจ่างแจ้ง
อีกประการฮ่องเต้ศักดิ์สูงเกินกว่าที่ขุนนางขั้นสี่จะกล้าตั้งคำถาม
ว่าเหตุใดพระองค์ถึงเลือกสกุลจาง ไม่เลือกสกุลสูงกว่านี้ตบแต่งกับแม่ทัพปั๋วเฉิน
“ผู้คุมกฎโปรดระงับโทสะเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าจางเอ่ยโน้มน้าว
“มาถึงขั้นนี้แล้วมัวตีอกชกหัวถามหาเหตุผลคงไม่เหมาะ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นมีรอยยิ้มสุภาพปรากฏ
“ผู้น้อยเห็นว่าจวนของเราควรน้อมรับราชโองการ แล้วเร่งมือเตรียมงานมงคลเถิดเจ้าค่ะ”
ท่าทีหนักแน่นของนาง ทำให้ผู้ร่วมหารือในโถงรับรองจวนหลักคล้อยตามโดยง่าย
ผู้อาวุโสเฒ่าถอนหายใจแผ่วเบา ผงกศีรษะเห็นพ้องคำกล่าวของ
ฮูหยินผู้เฒ่า ราชโองการก็ประกาศแล้วจะหาหนทางใดมาแก้ไขได้เล่า แต่ก็ขอบ่นไปตามประสาคนแก่เท่านั้น
“ทางนั้นส่งสามหนังสือมาหรือยัง”
“เรียนผู้คุมกฎ ทางฮูหยินผู้เฒ่าของจวนปั๋วเฉินส่งเทียบมาแจ้งว่า จะมายื่นสามหนังสือด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ซุนฮุ่ยนั่งนิ่งรับฟังอยู่นาน ก่อนตอบผู้ถามประโยคหนึ่ง
จึงหันมาสบตาสามีเพียงแวบเดียว แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย
“ได้ข่าวว่าฮองเฮาพระราชทานชุดมงคลสมรสแก่บ่าวสาว ทางนั้นจึงจะนำมามอบให้พร้อมกันเจ้าค่ะ น่าแปลกยิ่งนักที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนปั๋วเฉินมาเยือนด้วยตัวเอง เหมือนอยากจะมากดหัวสกุลจางอย่างไรอย่างนั้น”
มารดาของเจ้าบ่าวมียศถาบรรดาศักดิ์สูงขั้นกว่าตระกูลจาง กระทั่ง
ผู้อาวุโสเฒ่าของตระกูลฝ่ายหญิงยังต้องค้อมศีรษะคารวะนาง
สิ้นคำของฮูหยินใหญ่ซุนฮุ่ย ทุกคนในที่ประชุมหารือมีความคิด
พลุ่งพล่านดุจมรสุมทันตา การที่ฮูหยินผู้เฒ่าปั๋วเฉินมาเยือนสกุลจางนั้น
ล้วนมีนัยแฝงทั้งสิ้น หน้าที่เหล่านี้เป็นของแม่สื่อ ไฉนนางถึงอยากมาเอง เห็นทีตระกูลจางต้องเตรียมตั้งรับกันยกใหญ่เสียแล้ว
ผู้อาวุโสเฒ่าถอนหายใจ อย่างไรก็ยากจะหนีพ้น ก็แค่คารวะต่อสตรีที่มีครอบครัวถือครองบรรดาศักดิ์ปั๋วสักทีสองที คงไม่เสียเกียรติเท่าใดกระมัง
“อาหลันเล่า นางเตรียมตัวเตรียมใจไปถึงไหนแล้ว”
จางห้าวไร้คำตอบ เจ็ดวันมานี้เขายุ่งหัวหมุน จนลืมถามไถ่ถึงบุตรสาวไปเสียสนิท หลังมีราชโองการมาถึงจวน จางหลันก็เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยนจนเป็นลม ตัดพ้อบิดาร่วมสองชั่วยาม
เมื่อไม่เป็นผลจึงวิ่งไปเรือนท้ายจวน วิงวอนท่านย่าให้ยื่นมือช่วยเหลือ ท้ายสุดล้วนไม่สำเร็จ จางห้าวตัดสินใจแล้วที่จะมอบภาระหนักอึ้งให้อาหลันเป็นคนแบกรับ ท่านย่าเองก็เห็นพ้อง
ในเมื่ออาอวี้เพิ่งอายุแค่สิบสี่ปียังไม่พ้นวัยปักปิ่น หนำซ้ำยังคบหาอยู่กับกัวจิ้นเต๋อ บุรุษหนุ่มอนาคตไกลจากตระกูลบัณฑิตใหญ่ ซึ่งครองตำแหน่งมหาราชครูสั่งสอนเหล่าองค์ชาย
มองปราดเดียวผู้เป็นบิดาก็เห็นเส้นทางรุ่งโรจน์ของบุตรสาวคนรองเจิดจรัสเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าแล้วจึงหมดห่วง
เหลือเพียงแต่อาหลันนี่ล่ะ ที่ชะตาชีวิตครึ่งผีครึ่งคน อายุสิบห้า
ปักปิ่นตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ไร้เงาแม่สื่อมาสู่ขอ นางโชคร้ายเรื่องชาติกำเนิดที่มีมารดาเป็นเพียงอนุ ทำให้เหล่าตระกูลสูงส่งไม่อยากเปิดประตูจวนต้อนรับ หากลอดประตูข้าง แต่งเข้านั่งศักดิ์ฐานะอนุก็ว่าไปอย่าง เพราะบุตรีของอนุหรือจะสู้บุตรีของฮูหยิน
“พักนี้ไม่เห็นอาหลันโวยวายอันใด คงทำใจได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ซุนฮุ่ยยื่นหน้าตอบแทนสามีที่อึกอักอ้ำอึ้งไม่ปริปากตอบ
ผู้อาวุโสเสียที
“ดี เช่นนั้นก็เตรียมสินสอดให้อาหลัน เอาที่เหมาะสมกับบรรดาศักดิ์ปั๋วเฉินฮูหยินก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสเฒ่ารู้สึกเหนื่อยล้า จึงโบกมือยุติการหารือเพียงเท่านี้
