ตอนที่ 1 หิว
หน้าร้านขายอาหารแห่งหนึ่งหญิงสาวอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีกำลังยืนมองไก่ปลอมตัวอ้วนที่อยู่ในตู้กระจกพลางกลืนน้ำลายลงคอหลายอึก เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ทั้งเก่าและขาดลุ่ย อีกทั้งกลิ่นที่โชยออกมาจากคนตัวผอมนั้นก็เหม็นหึ่งไปหลายเมตร ครู่หนึ่งก็มีพนักงานทยอยเดินออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วเดินมุ่งหน้ามาที่ร้านขายข้าว
เจ้าของร้านที่เดินออกมาหน้าร้านหลังจากเข้าไปหยิบของรีบไล่ขอทานคนนั้นทันที “มายืนเกะกะขวางหน้าร้านฉันทำไม จะไปไหนก็ไป”
ผู้หญิงคนนั้นยังยืนไม่ขยับไปไหนแต่กลับกล่าววาจาอ้อนวอนเสียงแหบแห้ง “เจ้คะ หนูขอกินข้าวสักจานได้ไหมคะหนูหิว” แววตาเธอน่าสงสาร มือไม้เธอสั่นเทาเพราะความหิว ข้าวยังไม่ได้ตกถึงท้องมาเกือบสองวันแล้ว แต่ละวันมีเพียงน้ำเปล่าที่หาได้จากถังขยะเท่านั้นที่พอจะประทังชีวิตให้อยู่รอด สองวันก่อนเธอเป็นไข้หนักจึงไม่ได้ออกมาหาอาหารที่ถังขยะ มีเพียงน้ำที่เหลือในขวดที่คนอื่นเขาทิ้งแล้วเทรวมกันจนได้สองขวดขนาดหกร้อยมิลลิลิตร วันนี้ถึงจะพอเดินได้บ้าง แต่ร่างกายก็ยังหิวโซ และตัวเธอยังมีไข้สูง
เจ้าของร้านมองหญิงสาวคนนั้นแล้วขบกรามแน่น เธออุตส่าห์ไล่ไปให้พ้นหน้าร้าน เธอคนนี้ยังหน้าด้านหน้าทนมาขออาหาร “ยังจะมาขอข้าวฉันกินอีกเหรอ กินแล้วไม่มีปัญญาจ่ายฉันไม่ให้กินหรอกนะ ไป ไปให้พ้นหน้าร้านฉัน เดี๋ยวลูกค้าฉันก็ไม่กล้าเข้าร้านฉันกันพอดี” ว่าแล้วเจ้าของร้านก็สาดน้ำล้างผักที่อยู่ในถังเล็กใส่ผู้หญิงคนนั้นจนตัวเปียกปอน หญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าคนในรุ่นเดียวกันจึงรีบเดินไปยังถังขยะที่อยู่ถัดไปไม่ไกลจากร้านอาหารนั้นมากนัก
พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่เพิ่งเดินมาถึงสามสี่คนก็เดินเข้าไปในร้านแล้วสั่งอาหาร ในละแวกนี้มีร้านอาหารอยู่เกือบสิบร้าน ส่วนมากลูกค้าประจำจะเป็นพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งนี้ ซึ่งมีอยู่มากกว่าห้าร้อยชีวิต
ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินมาถึงร้านเจ้จอยมองตามขอทานคนนั้นแวบหนึ่งก่อนจะเดินเข้าร้านพร้อมกับคนขับรถ วันนี้เขามาตรวจโรงงานตอนบ่ายจึงแวะรับประทานอาหารกลางวันก่อนที่จะเข้าไปด้านใน
เจ้จอยยิ้มต้อนรับหน้าบานเมื่อหนุ่มหล่อ รวย และโสด ลูกเจ้าของโรงงานเดินมาถึงหน้าร้าน เธอปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยเสียงหวานออกมา “เชิญด้านในค่ะคุณวีร์ วันนี้รับอะไรดีคะ” ร้านของเธอขายทั้งข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู และข้าวหมูแดง
เจ้าของร่างใหญ่ทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มเดินเข้าไปนั่งในร้าน พนักงานทั้งชายและหญิงต่างมองเป็นตาเดียว เสียงสนทนากันที่เคยดังก็เริ่มเบาลงเมื่อเห็นเจ้านายมานั่งในร้านด้วย คนขับรถที่เดินตามหลังมาหยุดสั่งเจ้าของร้าน “ข้าวมันไก่สอง ไม่เอาหนังหนึ่งครับ” ลุงเชยสั่งเสร็จก็เดินเข้าไปในร้าน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ใจเจ้านายที่ทำงานด้วยกันมาเกือบสิบปี
“จ้ะ” เจ้าของร้านขานรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าผิดจากที่ว่าให้ขอทานน้อยคนนั้นราวกับเป็นคนละคน
ชายหนุ่มกับลูกน้องของเขานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างเงียบ ๆ ทั้งสองใช้เวลาไม่นานก็กินเสร็จ หลังจากนั้นคนขับรถก็เรียกเจ้าของร้านมาเก็บเงิน เจ้านายจึงเอ่ยขึ้น “ขอข้าวมันไก่กับข้าวขาหมูอย่างละกล่องครับและน้ำเปล่าอีกสองขวด คิดเงินรวมกันเลยนะครับ”
“ได้ค่ะ” เจ้จอยคิดไม่นานก็บอกราคา “ทั้งหมดสองร้อยบาทค่ะ”
ชายหนุ่มจ่ายค่าอาหารทั้งหมดแล้วก็นั่งรอให้แม่ค้านำอาหารมาให้ คนขับรถแปลกใจจึงเอ่ยถาม “คุณวีร์ยังไม่อิ่มเหรอครับ” เจ้านายของเขาไม่ใช่คนกินจุขนาดนั้น
“เปล่าจะซื้อไปให้คนอื่นน่ะ” แม้ยังแคลงใจแต่ลุงเชยก็ไม่เอ่ยถามต่อ เขาอาจจะซื้อไปฝากคนในโรงงานก็เป็นได้
ผู้หญิงตัวเล็กหน้าตามอมแมมผมเผ้ารุงรังกำลังคุ้ยถังขยะที่วางเรียงกันอยู่หลายใบ เธอยังไม่ได้เศษอาหารสักกล่อง อาจเป็นเพราะตอนนี้พนักงานยังกินข้าวไม่อิ่ม จึงไม่มีเศษอาหาร เพราะเศษอาหารที่เหลือจากเมื่อวานก็คงมีคนอื่นมาคุ้ยไปจนหมดแล้ว อีกทั้งหน่วยงานของเทศกิจก็มีการเก็บขยะทุกวันจึงทำให้ไม่มีสิ่งที่กินได้เหลืออยู่เลย ร่างเธอสั่นจนรู้สึกตัวเบาหวิวคล้ายจะเป็นลม อีกทั้งพิษไข้กำลังเล่นงานเธออย่างหนัก ปัจจัยสี่ที่คนทั้งหลายพึงมีเธอก็ไม่มี อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคเธอไม่เคยมีครบ มีเพียงเสื้อผ้าติดตัวเท่านั้น อย่างอื่นต้องปล่อยให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนด บางวันอาจจะนอนที่ป้ายรถเมล์ บางวันนอนใต้สะพานลอย นั่นเป็นกิจวัตรประจำวันที่เธอคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี