บทที่7. ยังหายใจอยู่
ดวงตากลมกลอกไปมาเงี่ยหูฟังจนแน่ใจแล้วรีบก้าวยาว ๆ ไปหลังพุ่มไม้ที่อยู่ห่างจากนางราวยี่สิบก้าว
“พี่สาว” เพราะแบกของไว้เต็มหลัง เขาจึงก้าวตามพี่สาวได้ช้านัก เขาไม่ได้กลัวภูตผีแต่กลัวจะเป็นคนร้ายมากกว่า แต่เมื่อเดินไปทันแผ่นหลังของพี่สาว เขาเองก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น
“คนหรือผี...”
เหมยซิงไม่รอช้า รีบเข้าไปประคองร่างที่เปื้อนเลือดขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมบาง เสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มไปแล้ว ใบหน้าก็มีรอยบอบช้ำเขียวเป็นจ้ำ นางพยายามจับตัวอย่างเบามือด้วยเกรงว่าจะถูกชิ้นส่วนในร่างกายที่แตกหัก กลับได้ยินเสียงครางออกมา
“คนซิ ยังหายใจอยู่”
เหมยซิงหันไปดุน้องชาย มือเรียวลูบคลำไปตามเนื้อตัว ลอบถอนหายใจเมื่อมั่นใจว่าไม่มีชิ้นส่วนใดหัก แต่ไม่พบบาดแผลที่ทำให้เลือดออกท่วมเสื้อผ้าเช่นนี้ คล้ายว่ามีคนเอาเสื้อผ้าชุ่มเลือดมาคลุมร่างนี้ไว้เพื่อซุกซ่อนชายผู้นี้ไว้
“แล้วจะทำอย่างไรดี”
“ต้องพาเขากลับไป”
“พากลับไป! ไปไหน!”
“บ้านเราซิ”
“จะพาไปอย่างไรเล่า”
“แบก!”
“พี่สาว! พี่จะแบกผู้ชายไม่ได้!” ติงหยี่ส่ายหน้ารัว พี่สาวยังไม่ได้แต่งงาน ขืนใครรู้เข้าคงไม่ได้ออกเรือนเป็นแน่
“ได้ซิ” เหมยซิงคิดแค่ช่วยคน “มาช่วยพี่หน่อย”
นางย่อตัวลงมุ่งมั่นเอาจริงว่าจะแบกชายผู้นี้ให้ได้ ติงหยี่จึงได้แต่ประคองชายที่หมดสติแต่หลุดปากครางอย่างเจ็บปวดตลอดเวลาให้เขาขึ้นหลังพี่สาว เขาตัวเล็กเกินไปไม่สามารถแบกชายผู้นี้ได้
เหมยซิงรวบรวมกำลัง ดีที่ตั้งแต่นางฟื้นมาก็ฝึกฝนออกกำลังกายอยู่เสมอ ร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงกว่าวันแรก ๆ ที่ฟื้นมามากนัก นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากแต่เมื่อทรงตัวได้ก็ออกก้าวเดิน เคยคิดว่าตัวเองผอมบางมากแล้ว ชายผู้นี้ผอมกว่านักน้ำหนักไม่มากเท่าที่คิด ใบหน้าของเขาพาดข้ามไหล่ลงมา ลมหายใจร้อนระอุดุจคนป่วยไข้ ส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวด
“อดทนหน่อยนะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป” เหมยซิงกระซิบบอก ราวกับน้ำเสียงของนางเข้าไปสู่อีกฝ่าย เสียงครางเงียบลงไปเหลือเพียงลมหายใจที่ยังสม่ำเสมออยู่
“รีบเดินเร็ว”
“อืม”
ติงหยี่ได้แต่พยักหน้ารับไม่คิดว่าพี่สาวจะมีแรงแบกผู้ชายขึ้นหลังได้อย่างนี้ แม้เห็นชัด ๆ ว่าพี่สาวยังคงเป็นเหมยซิงคนเดิมที่คอยดูแลเขาเขาและน้อง ๆ มาตลอด แต่ต้องยอมรับว่าหลังจากที่พี่สาวกลับจากป่าช้าก็เปลี่ยนไป
แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เขารู้สึกดียิ่งนัก.
....
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ปลุกให้คนที่หมดสติตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ประสาทหูได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลนัก กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยคลุ้งในอากาศ ดวงที่ปิดสนิทมาหลายวันก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นดวงตากลมของเด็กหญิงตัวเล็กที่โน้มหน้าจ้องมองคนที่นอนอยู่
“พี่สาว!”
เสียงแหลมเล็กของเด็กน้อยดังขึ้นจนคนนอนต้องหลับตาไปอีกครั้ง รู้สึกเหมือนคนวิ่งออกไป และครู่ต่อมาเสียงหวานใสดังขึ้นแทนที่
“เหมยลี่ อย่าเสียดัง แล้วก็อย่าวิ่งด้วย ท่านพ่อยังนอนอยู่”
“แต่คนผู้นี้ลืมตาแล้ว”
“ลืมตาแล้ว?”
คนที่นอนอยู่ในห้องพยายามอีกคราในการลืมตาขึ้น คราวนี้สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กสาวมีเหงื่อเกาะพราว ดวงตาดำดุจนิลกระจ่างสุกใสจ้องมอง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้คนเห็นสบายตายิ่ง
“ฟื้นแล้วรึ”
‘ฟื้น’
ซุนเว่ยหมิน ทบทวนสิ่งที่ได้ยิน ที่นี่ที่ใดกัน เขาขยับปากจะส่งเสียงถาม แต่กลับมีเสียงครางครือในลำคอ เขาพยายามขยับตัวแต่ทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือเบิกตากว้าง และกลอกตาไปมามองสิ่งที่อยู่รอบข้างกาย
‘เกิดอะไรขึ้น ไฉนจึงขยับตัวไม่ได้เช่นนี้’
ชายหนุ่มถามตัวเองกลอกตาลงมองท่อนแขน คล้ายบังคับให้มันขยับ แต่กลับทำไม่ได้ รู้สึกเพียงมีแค่ปลายนิ้วกระดิกอย่างยากลำบาก จนเหงื่อไหล่ท่วมใบหน้า
เหมยซิงเห็นใบหน้าที่มีเหงื่อผุดขึ้นมา ซ้ำดวงตายังดูเคร่งเครียดผสานความตกใจ นางใช้ปลายแขนเสื้อซับเหงื่อให้เขาก่อนมองตามสายตาคู่นั่นที่มองแขนของตน เห็นเพียงปลายนิ้วที่กระดิกขึ้นลงเหมือนเคาะพื้นอยู่ นางจึงเลื่อนมือจากใบหน้าของเขาไปจับที่แขนแทน
