บทที่19.เจ้าหนุ่มนี่มีวาสนาดีได้นางเป็นภรรยา
แม้เคยชินกับการมีเด็กสาวนอนอยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่คิดว่านางใจกล้าขึ้นมานอนเบียดเขาบนเตียงเดียวกันเช่นนี้ นางกลับหลับสนิทในขณะที่เขากระสับกระส่ายแต่ขยับตัวไม่ได้ แต่เพราะนางไวกับสัมผัสของเราหรืออย่างไรไม่อาจรู้ได้ นางจะงัวเงียเอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วงเสมอ
“อยากไปส้วมหรือเปล่า”
“ร้อนหรือ?”
“ยุงกัดหรือไม่”
เมื่อเขาครางอืออาในลำคอ และพยายามส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ นางจะตบหลังมือของเขาเป็นเชิงปลอบโยนให้เขาหลับเสีย เห็นใบหน้านางใกล้ ๆ และแววอ่อนล้าของนางแล้ว เขารู้สึกปวดใจไม่น้อย ชีวิตไม่เคยต้องพึ่งพาสตรีเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะสตรีร่างเล็กอายุน้อยเช่นนี้ แต่เมื่อนางวางมือบนหลังมือของเขาและหลับไป ในที่สุดเขาผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งลืมตามาไม่เห็นนางอยู่เคียงข้าง จิตใจก็ประหวั่นด้วยความกังวลจนต้องพยายามข่มใจ เมื่อตั้งสติได้จึงได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของนางอยู่ด้านนอก และใกล้เข้ามาทุกขณะ นางกำลังวิ่งมาหาเขา และหยุดยืนเหมือนเกรงว่าจะรบกวนเขา
“เจ้าตื่นแล้ว”
น้ำเสียงของนางเหมือนรู้สึกผิดที่ทำให้เขาตื่น แต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ นางเข้าใจสายตาของเขา ยื่นมือมาประคองเขานั่งและเอ่ยขึ้น
“ข้าไปช่วยพี่สาวผ่าฟืน ที่นี่มีแต่ผู้หญิง พี่สาวก็ตั้งครรภ์อ่อน ๆ ข้าตื่นเช้าเลยไปช่วยตั้งแต่ตื่น” นางประคองให้เขานั่งเสร็จแล้วก็เดินไปยกอ่างน้ำมาใกล้ ๆ เตรียมน้ำให้เขาบ้วนปาก “ไม่ต้องห่วงนะ ข้าเคยผ่าฟืนเรื่องแค่นี้ไม่ยากอะไร ข้าบอกแล้วตัวข้าเล็กแต่เรี่ยวแรงไม่น้อย”
“เรากินข้าวเช้าแล้วก็จะออกเดินทางกันเลย ข้าเลยไปช่วยงานของท่านย่าเสียหน่อย ข้าถามพวกนางแล้ว พวกนางไม่คิดเงินค่าที่พักกับพวกเรา ข้าเลยอาสาออกแรงช่วยงานพวกนางแทน”
นางช่วยเขาจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยเช่นทุกวัน ประคองเขาที่ดูเหมือนจะเป็นลากออกมาหน้าห้อง ให้เขาได้นั่งเก้าอี้ที่นางเตรียมไว้ให้
ก่อนแล้ว
“กินโจ๊กเสียหน่อย ข้าช่วยท่านย่าทำโจ๊กเห็ดหอมละ” นางตักโจ๊กขึ้นมาเป่าไล่ไอร้อนแล้วบรรจงป้อนเขาที่ละคำ แม้เหมยซิงมีนิสัยใจร้อนแต่กับเขาแล้ว นางกลับทำที่ละอย่างเชื่องช้าตามลำดับ และไม่แสดงสีหน้าลำบากใจแต่อย่างใด
ทั้งเตรียมอาหารเช้า เตรียมยา เตรียมเสื้อผ้า ให้อาหารม้า ซ้ำยังไปช่วยผ่าฟืนให้ครอบครัวนี้อีก นางตื่นกี่โมงกี่ยามกันหนอ
ซุนเว่ยหมินขมวดคิ้วเล็กน้อย นางยังคงรวบผมเป็นหางม้า นางมีรอยยิ้มเป็นเครื่องประดับ เพียงนางยิ้ม ก็ราวกับดอกไม้ผลิบาน ดวงตะวันเปลี่ยนทิศมาทางนาง
“เจ้าหนุ่มนี่มีวาสนาดีได้นางเป็นภรรยา เจ้าต้องดูแลถนอมนางให้มาก ๆ”
ชายหนุ่มได้แต่กลอกตามองไปทางหญิงชราที่พูดให้เขาได้ยิน ไม่พอใจที่ถูกพูดจาเหมือนสั่งสอนเช่นนี้ แต่เพราะขยับตัวไม่ได้จึงได้แต่กลอกตามองตามร่างบอบบางของเหมยซิงที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาทางเขา
“พวกเราต้องออกเดินทางกันแล้ว ขอลาท่านย่า และพี่สาวตรงนี้”
“เดินทางปลอดภัยนะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหมยซิงประสานมือแล้วโค้งตัวคารวะแต่ได้
ยินเสียงครางอืออาของอาหมาน นางขมวดคิ้วก่อนหัวเราะออกมา
“ไม่ได้ทำแบบนี้ใช่ไหม”
เพราะเสียงหัวเราะของเหมยซิงทำให้หญิงชรา และสะใภ้ผู้นั้นขบขันไปด้วย เข้าใจไปว่านาแสร้งทำให้ทั้งสองหัวเราะทั้งทีความจริงแล้ว เหมยซิงไม่รู้ว่าการแสดงความคารวะ หรือขอบคุณผู้อื่นนั้นต้องทำเช่นไร
“ข้าจำมาจากในหนังจีน”
เหมยซิงบ่นอุบอิบพลางย่อตัวลงแล้วแบกร่างผักของชายหนุ่มขึ้นหลัง พาเขาเข้าไปนอนในที่นอนที่นางเอาออกไปผึ่งลมเมื่อวาน เขาไม่ชอบกลิ่นอับ นางรู้เรื่องนี้ดี นางปีนขึ้นหลังรถม้า จัดที่ทางและท่านอนให้เขาอย่างพอเหมาะ และเขาต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นนางใช้เส้นไหมผูกปลายนิ้วชี้ของเขาไว้
“ข้านั่งข้างหน้าบังคับม้า เจ้าอยู่ด้านหลัง ส่งเสียงเรียกข้าก็ไม่ได้ ขยับได้แค่ปลายนิ้วกับกลอกตาไปมา ข้าเลยขอเส้นไหมจากท่านย่าผูกปลายนิ้วของเจ้า ปลายเส้นไหมอีกด้านนั้นข้างจะผูกไว้กับนิ้วมือของข้า หากเจ้าต้องการอะไร หรืออยากเรียกข้าก็แค่กระตุกเส้นไหมนี้ ข้าจะได้รู้อย่างไรล่ะ”
เหมยซิงมุดกลับออกไปนั่งด้านหน้า กระตุกบังเหียนให้ม้าก้าวเท้าออกเดินทาง ปลายนิ้วชี้ข้างขวาผู้เส้นไหมสีแดงกับเขาปลายนิ้วของชายที่เอนตัวลงนอนอยู่ด้านในของรถม้า
