บทที่ ๙ ตัวปัญหา
ศตายุตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะ เมื่อลืมตาขึ้นมองไปรอบตัวก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว เมื่อคืนหลังจากขวัญข้าวนำน้ำขิงมาให้ดื่ม เขาก็เผลอหลับไปชนิดไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะแกล้งทำตัวน่าสงสาร แต่กลับไม่มีโอกาสได้ทำ
“ตื่นแล้วเหรอคะ” ขวัญข้าวทักทาย ขณะถือถาดข้าวต้มและน้ำเปล่าเข้ามาภายในห้อง แล้ววางลงบนโต๊ะข้างเตียง
“เมื่อคืนฉันหลับไปตอนไหน ทำไมไม่เห็นรู้ตัวเลย” ชายหนุ่มถาม
“อ๋อ เมื่อคืนฉันให้คุณศรทานยานอนหลับน่ะค่ะ คุณศรก็เลยหลับง่ายกว่าปกติ” คนตัวเล็กบอกยิ้มๆ
“ยานอนหลับเหรอ?” คนถามพยุงตัวเองขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
“ค่ะ ก็หมอให้ไว้เผื่อคุณศรปวดแผลมากจนนอนไม่ได้ แล้วฉันก็คิดว่าควรทานยาพร้อมกับน้ำขิงเลย”
“เฮ้ย! นี่ขวัญวางยาฉันเหรอ” ศตายุทำตาโต เมื่อรู้ตัวว่าเสียท่าให้แม่ตัวดีเข้าแล้ว
“เปล่านะคะ ฉันก็แค่หวังดี เห็นคุณศรไม่ชอบทานยาขมๆ ก็เลยผสมเข้าไปในน้ำขิง”
“นี่ขวัญ! เธอจงใจแกล้งฉันใช่มั้ย”
“คุณเป็นบ้าอะไรของคุณอีกเนี่ย” ขวัญข้าวเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาบ้าง “ฉันหวังดีแต่คุณกลับมาโวยวายใส่ ตกลงว่าเราคงพูดดีกันไม่ได้เลยสินะ” ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำขึ้นถนัดตา ตอนนี้เองที่ศตายุเริ่มได้สติว่ากำลังทำเกินไป
“เอ่อ...ฉันไม่ได้ว่าอะไรนี่ ฉันก็แค่คิดว่าขวัญแกล้งฉัน” หนุ่มหล่อก้าวเท้าลงจากเตียง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมศีรษะเมื่อรู้สึกปวดมากขึ้น สีหน้าดูเหยเกจนขวัญข้าวต้องขยับเข้าไปใกล้อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ปวดหัวเหรอคะ” เธอขยับไปใกล้มากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายทำท่าโงนเงนเหมือนจะล้มลง
“ปวดสิ...มากๆ เลยด้วย” ศตายุตวัดแขนข้างหนึ่งโอบไหล่หญิงสาว ถือโอกาสรั้งตัวเธอเข้าแนบชิดด้วยความตั้งใจ แน่นอนว่าในเวลาแบบนี้ขวัญข้าวไม่มีทางตามเล่ห์เหลี่ยมของเขาทันแน่
“ถ้างั้นนั่งก่อนนะคะ อีกซักพักค่อยไปล้างหน้าล้างตาแล้วมาทานข้าวต้ม เดี๋ยวจะได้ทานยาแก้ปวดเลย”
“ไม่ต้องนั่งหรอก ขวัญแค่ประคองฉันไปที่ห้องน้ำก็พอ ฉันอยากแปรงฟันล้างหน้าก่อนเลย หิวแล้วด้วย”
“ค่ะๆ” หญิงสาวยกมือขึ้นโอบรอบเอวเพรียวแบบผู้ชาย ช่วยประคองเขาตรงไปที่ห้องน้ำ
“ยืนรอตรงนี้ก่อนนะ ขวัญไม่ต้องเข้าไปด้วยหรอก เดี๋ยวมันจะดูไม่ดี” ศตายุทำตัวเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม บอกให้เธอรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเองเดินหายเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำครู่หนึ่ง แล้วกลับออกมาด้วยสีหน้าท่าทางที่สดชื่นขึ้น
“ขอบใจนะ แต่ฉันเดินเองไหวแล้วล่ะ ขวัญไม่ต้องช่วยหรอก เดี๋ยวจะหาว่าฉันคิดเอาเปรียบอีก” ชายหนุ่มปฏิเสธ เมื่อหญิงสาวกำลังจะเข้าช่วยประคองอีกครั้ง
“ไม่หรอกค่ะ คุณศรอย่าอวดเก่งไปหน่อยเลย” คนตัวเล็กบ่นพึมพำ ก่อนจะดึงแขนแข็งแรงมาพาดไว้บนไหล่ แล้วช่วยพยุงกลับไปที่เตียง
ศตายุยิ้มกว้าง แต่ขวัญข้าวไม่ทันสังเกตเห็น เขากำลังคิดว่าเนื้อตัวเธอช่างนุ่มนิ่มเสียเหลือเกิน กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นกุหลาบช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และมันคงดีไม่น้อยหากมีกลิ่นหอมละมุนจากตัวเธอให้ได้ชื่นใจทุกครั้งก่อนเข้านอน และตื่นนอนตอนเช้าด้วย
“นั่งตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันยกถาดข้าวต้มมาให้”
เช้านี้ขวัญข้าวสวมชุดกระโปรงสีขาวยาวคลุมเข่า คลุมทับด้วยเสื้อไหมพรมที่ถักทออย่างประณีตสีเดียวกัน ผมยาวกลางหลังถูกรวบขึ้นกลางศีรษะ ปอยผมที่คลอเคลียอยู่ตรงต้นคอและข้างแก้ม ทำให้ใบหน้ารูปไข่ยิ่งงดงามมากขึ้น ริมฝีปากอวบอิ่มที่ศตายุใฝ่ฝันอยากลิ้มลอง ทาทับด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อน ดูน่ารักสมวัย
“คุณศร...คุณศร!” ขวัญข้าวเอื้อมมือมาเขย่าไหล่หนาเต็มแรง เมื่อเห็นเขาเหม่อมองเธอเหมือนคนจิตใจไม่ปกติ
“หืม อะไรเล่า” ศตายุสะดุ้งเล็กน้อย รีบปรับสีหน้าให้เข้มขึ้นกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่อย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ ทำไมดูล่องลอยแปลกๆ” สาวน้อยเอียงคอมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย
“ปะ...เปล่า ฉันแค่รู้สึกเวียนหัวน่ะ เหมือนเห็นภาพขวัญซ้อนกัน ฉันก็เลยเพ่งมองให้แน่ใจเท่านั้นเอง”
“ฉันว่าคุณศรรีบทานข้าวดีกว่านะ เดี๋ยวจะได้ทานยา แล้วนอนพักผ่อนต่อ”
“อืม ขวัญ...ขวัญมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันกินข้าวกินยาเอง ขอบใจมากนะที่ช่วยดูแลฉัน” ความจริงศตายุน่าจะใช้โอกาสนี้รั้งหญิงสาวให้อยู่ใกล้ชิดให้มากที่สุด แต่อาการใจเต้นแรง ทำให้รู้สึกประหม่าจนคิดอยากกันเธอให้ออกห่างก่อนชั่วคราว อย่างน้อยก็จนกว่าจะเรียกความรู้สึกเดิมๆ กลับมาได้ก่อน
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันออกไปเตรียมอาหารเช้าให้นายกับคุณพริมก่อนแล้วกันนะคะ ถ้าต้องการอะไรก็เรียกได้เลย ฉันจะเปิดประตูห้องทิ้งไว้ให้” ขวัญข้าวยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แต่ศตายุกลับมองว่ามันหวานหยดและช่างยั่วยวนจนแทบอดใจไม่อยู่
“อืมๆ รีบไปเถอะ” ชายหนุ่มเร่งเร้าผิดปกติ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจอะไร นอกจากเดินออกจากห้องนอนของเขาไปโดยไม่ได้เหลียวหลังกลับมามองอีก
ศตายุยกมือขึ้นทาบบนอกแข็งแรง รับรู้ได้ถึงความรู้สึกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นภายใน ทุกครั้งที่ได้เห็นมุมอ่อนโยนของขวัญข้าว หัวใจเขามักจะเต้นแรงจนแทบทะลุออกมากองนอกอกเสมอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกอย่างนี้กับเธอ
เขาจำได้ดีว่าเมื่อตอนได้พบกันวันแรก อาการพวกนี้ก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มันคือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งเธอ เขาทำไปเพื่อกันตัวเองออกห่างจากความรู้สึกผิดปกติบางอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรกันแน่…
หลังจากมื้อเช้าผ่านพ้นไป สกรรจ์ก็พาพริมาเข้าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลในเมือง เพราะก่อนหน้านี้เขามัวแต่จัดการเรื่องการซ่อนตัวของหญิงสาวจนลืมที่จะพาเธอมาตรวจร่างกาย เพิ่งมานึกขึ้นได้ก็ตอนเช้านี่เอง
กว่าจะเสร็จครบทุกขั้นตอนก็เสียเวลาไปนานหลายชั่วโมง สองหนุ่มสาวจึงต้องรับประทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหารของโรงพยาบาล และรอฟังผลการตรวจร่างกายในช่วงบ่าย ผลปรากฎว่าพริมาปกติดีทุกอย่าง ไม่มีอาการช้ำในหรือสิ่งเลวร้ายใดๆ นอกจากบาดแผลภายนอกร่างกายเท่านั้น
“เย็นนี้เราไปทานมื้อค่ำกันที่น้ำตกท้ายไร่กันดีมั้ย” สกรรจ์เอ่ยชวน ขณะกำลังขับรถกลับไปที่บ้าน
“พริมไม่ยักรู้เลยนะคะว่าที่ท้ายไร่มีน้ำตกด้วย” พริมาดูตื่นเต้น
“แล้วตกลงว่าอยากไปมั้ยล่ะครับ”
“ไปสิคะ พริมอยากไป” หญิงสาวตอบตกลงด้วยน้ำเสียงและท่าทางกระตือรือล้น
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะให้คนไปเตรียมของให้เราเลยแล้วกัน ที่นั่นอากาศดีที่สุดเลยนะ” ชายหนุ่มเชื่อว่าอากาศบริสุทธิ์จะช่วยให้หญิงสาวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
“ขอบคุณนะคะ” พริมาหันมายิ้มหวานให้คนตรงหน้า
“คุณขอบคุณผมจนติดปากไปแล้วรู้มั้ย”
“ก็มันจริงนี่ค่ะ...ถ้าไม่มีคุณ พริมก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้”
“เอาเถอะครับ เราอย่าพูดถึงเรื่องไม่ดีกันเลย ผมว่าเรามาคิดเมนูอาหารสำหรับมื้อเย็นดีกว่ามั้ย”
สกรรจ์ชวนเปลี่ยนเรื่อง เพราะสิ่งที่เธอพูดถึงนั้นเกี่ยวรวมถึงตัวเขาไปเต็มๆ นี่ถ้าหากได้รู้ว่าเขาคือคนที่ถูกส่งไปตามล่าเธอ คงตกใจจนแทบช็อกและเกลียดเขาจนไม่ยอมให้อภัยแน่
สกรรจ์ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะถูกปิดเป็นความลับไปตลอดกาล...
“พริมทานอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ แล้วสกรรจ์ล่ะคะ อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย พริมหายดีแล้ว เดี๋ยวพริมจะทำให้ทานเองค่ะ” เสียงใสที่เต็มไปด้วยความสุขช่วยดึงสกรรจ์กลับจากภวังค์ ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เธอ แล้วบอกเมนูอาหารจานโปรดที่ต้องการให้เธอทำให้ทานด้วยตัวเอง จากนั้นก็คุยเรื่องทั่วไปจนกระทั่งขับรถกลับถึงบ้าน
ขวัญข้าววิ่งมาช่วยประคองพริมาลงจากรถ แต่หญิงสาวยืนยันว่าหายเป็นปกติดีแล้ว สองสาวจึงเดินเคียงข้างกันเข้าไปในห้องครัว ส่วนสกรรจ์เข้าไปดูอาการศตายุในห้อง พูดคุยปรึกษากันเรื่องงาน ไม่นานนักเสียงรถยนต์คุ้นหูก็แล่นเข้ามาจอด ขวัญข้าวชะงักมือที่กำลังหั่นผักลงแค่นั้น สีหน้าของเธอทำให้พริมาอดประหลาดใจไม่ได้
“เป็นอะไรไปจ๊ะขวัญ ใครมาเหรอ” พริมาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เอ่อ...แขกของนายน่ะค่ะ เดี๋ยวคุณพริมอยู่ในครัวไปก่อนนะคะ เดี๋ยวขวัญไปบอกนายก่อน อย่าออกไปไหนนะคะ” ขวัญข้าวย้ำแล้วย้ำอีก ก่อนจะวิ่งหายออกไปเพื่อบอกให้สกรรจ์รู้ว่ามีแขกคนสำคัญมาพบ
สกรรจ์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม รีบบอกให้ขวัญข้าวรีบลงไปรับหน้าก่อน ส่วนตัวเขาตรงรี่เข้าไปหาพริมาในครัว เพื่อบอกกับเธอว่ามีธุระต้องเข้าไปจัดการที่ไร่ชาชัยพรรษ หญิงสาวไม่ได้ถามอะไรมาก นอกจากบอกให้เขาขับรถอย่างระมัดระวัง และกลับมาให้ทันมื้อค่ำตามที่ตกลงกันเอาไว้
รมิดา นิพิฐพนธ์ บุตรสาวเพียงคนเดียวของพ่อเลี้ยงเดชทัต เดินตรงเข้าไปควงแขนสกรรจ์อย่างถือสิทธิ์ พยายามเอาเรือนร่างอวบอัดเข้าบดเบียดอกแกร่งอย่างยั่วยวน กระนั้นก็ยังถูกมองผ่านอย่างไม่ใส่ใจนัก ชายหนุ่มพาเธอเดินตรงไปที่รถ จัดการเปิดประตูแล้วดันร่างบางเข้าไปข้างในราวกับรีบร้อนเสียเต็มประดา
“อะไรกันคะพี่สกรรจ์ จะพาดาไปไหนคะเนี่ย ทำไมถึงได้ดูใจร้อนนักล่ะ” รมิดาถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“พี่ว่าจะพาดาไปหาอะไรอร่อยๆ ทานในเมืองน่ะ ไม่อยากไปเหรอ” สกรรจ์ใช้ข้ออ้างนี้ในการพารมิดาไปให้ห่างพริมามากที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นพิษรักแรงหึงของเธอจะต้องทำลายผู้หญิงที่เขารักจนมอดไหม้เป็นจุลแน่นอน ที่ร้ายกว่านั้นคือเรื่องนี้จะต้องรู้ถึงหูเดชทัตแน่
“แหม พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะ พี่สกรรจ์อุตส่าห์ใจดีกับดา ดาจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ”
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว เรารีบไปกันเลยดีกว่านะ” พูดจบชายหนุ่มก็ดันประตูด้านรมิดาปิดลง แล้วเดินกึ่งวิ่งอ้อมไปทางด้านคนขับ
เมื่อก้าวเข้าประจำตำแหน่งสารถีเรียบร้อย เขาก็รีบเร่งเครื่องออกห่างจากบ้านมาทันที ขวัญข้าวมองตามด้วยความว้าวุ่นใจ เมื่อหันกลับไปเห็นพริมายืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง เธอก็สะดุ้งจนสุดตัว
“คุณพริม!”
“เป็นอะไรไปจ๊ะขวัญ ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย” พริมายิ้มบาง สะกดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ในใจ เมื่อมาทันได้เห็นสกรรจ์ออกไปกับผู้หญิงสวยเฉี่ยวคนหนึ่งเข้าพอดี
“เอ่อ...เปล่าค่ะๆ” ขวัญข้าวยิ้มกลบเกลื่อน
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอที่เป็นแขกคนสำคัญของสกรรจ์” ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ถามเรื่องนี้ แต่กลับห้ามตัวเองไม่อยู่
“ความจริงก็ไม่ใช่แขกสำคัญอะไรหรอกค่ะ คุณดาเธอเป็นปัญหาสำคัญของนายเสียมากกว่า”
ขวัญข้าวรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถออกความเห็นในเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย ความสัมพันธ์ระหว่างพริมากับสกรรจ์อาจจะสั่นคลอน เพียงเพราะความเข้าใจผิด ซึ่งเธอไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นแน่
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าอะไรเป็นยังไง ฉันมาอยู่ที่นี่ได้แค่ไม่กี่วัน แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ในฐานะอะไร” คำที่พูดนั้นแฝงไปด้วยความน้อยใจอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้สึก
“คุณพริมอย่าคิดอะไรมากเลยค่ะ ขวัญรับรองได้เลยนะคะว่านายกับคุณดาไม่ได้มีอะไรกัน คุณดาเธอเป็นลูกสาวของพ่อเลี้ยงเดชทัต ส่วนพ่อเลี้ยงเดชทัตเนี่ยก็คือพ่อเลี้ยงของนาย” ขวัญข้าวอธิบาย แววตาดูแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเอ่ยถึงเดชทัต
“พ่อเลี้ยงเหรอ...แปลกจังนะ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ฉันยังไม่เคยได้ยินสกรรจ์พูดถึงคุณพ่อคุณแม่เลย ฉันก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคุณแม่ของสกรรจ์แต่งงานใหม่”
“นายใหญ่เสียชีวิตไปได้สองปีเศษแล้วล่ะค่ะ ส่วนสาเหตุ...ขวัญขอไม่พูดถึงดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันรู้ว่าขวัญคงลำบากใจ เอาไว้ฉันจะถามกับสกรรจ์เองแล้วกัน”
พริมาเข้าใจดีว่าเรื่องพวกนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะมองข้าม เอาไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ เธอจะต้องหาคำตอบจากสกรรจ์แน่ แต่ถ้าหากเขาไม่ต้องการจะพูดถึงอดีต พริมาก็ยินดีที่จะทำตามเช่นกัน
สกรรจ์พารมิดามารับประทานอาหารที่ภัตตาคารในตัวเมืองเชียงราย ตัวเขาเองไม่ค่อยจะสนใจอาหารราคาแพงตรงหน้านัก เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะเก็บท้องไว้รอจัดการอาหารฝีมือของพริมา ซึ่งดูเหมือนจะทำได้ยากลำบากเหลือเกิน ในเมื่อรมิดาคอยยัดเยียดให้รับประทานอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้
“ดาทานเถอะ พี่เพิ่งทานข้าวกลางวันไปเยอะเลย พี่ยังไม่หิว” สกรรจ์ปฏิเสธ
“แต่นี่มันเย็นแล้วนะคะ พี่สกรรจ์ควรจะหิวได้แล้วนี่นา ทานหน่อยนะคะ” รมิดาตักอาหารใส่ในจานชายหนุ่ม “นะคะ...ทานเป็นเพื่อนดาหน่อยสิ ไหนๆ ก็ชวนดาออกมาแล้ว”
“พี่ยังอิ่มอยู่จริงๆ จ้ะ”
“ไม่รู้แหละค่ะ ถ้าพี่สกรรจ์ไม่ทาน ดาก็จะนั่งคะยั้นคะยอให้ทานอยู่นี่แหละ เอาให้ไม่ได้กลับบ้านกันเลยดีมั้ยคะ” รมิดาไม่ได้ขู่ และสกรรจ์รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเลี่ยงได้อีกแล้ว
“ก็ได้ๆ แต่พี่ทานนิดเดียวนะ พี่ไม่หิวจริงๆ”
“ได้ค่ะ แค่นิดเดียวก็ยังดี” คนสวยยิ้มแพรวพราว รีบตักอาหารใส่จานให้อีกฝ่ายทันที
สกรรจ์ฝืนกล้ำกลืนอาหารในจานลงจนหมด ก่อนจะรีบรวบรัดตัดตอนเรียกพนักงานมาเช็คบิล หญิงสาวรบเร้าให้เขาพาไปเที่ยวต่ออีกหลายที่ แต่พอสกรรจ์ยื่นคำขาดว่าหากเธอยังเอาแต่ใจอยู่อย่างนี้ คราวหลังเขาจะไม่พาไปไหนด้วยอีก รมิดาถึงได้ยอมให้ชายหนุ่มพาไปส่งที่บ้าน แต่ใบหน้าสวยเฉี่ยวดุดันก็งอง้ำเต็มทน
“พี่ส่งแค่นี้นะ” ชายหนุ่มจอดรถที่ลานหน้าบ้าน ไม่ยอมลงไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายตามแบบฉบับสุภาพบุรุษ “เออนี่ ถ้าดาจะไปหาพี่ที่บ้าน ดาควรโทรบอกพี่ก่อนนะ เพราะช่วงหลังมานี่พี่งานยุ่งมาก ต้องเข้าไปดูงานที่ไร่ทุกวัน ไอ้ศรก็ไม่ว่างเหมือนกัน ส่วนขวัญก็กำลังจะไปเรียนต่อแล้ว พี่ไม่อยากให้ดาไปเก้อ” สกรรจ์บอก
“ถ้างั้นดาเข้าไปหาพี่สกรรจ์ที่ไร่เลยดีมั้ยคะ” รมิดาเอ่ย พลางเลื่อนมือมาแตะที่ท่อนแขนแข็งแรง “หรือว่าจะให้ดาไปหาตอนค่ำๆ ดี” เจ้าของร่างบางซบอิงอยู่กับอกแกร่งจงใจเย้าแหย่อารมณ์ดิบของอีกฝ่ายให้ลุกฮือขึ้นมา
“อย่าทำแบบนี้สิดา พี่บอกแล้วนะว่าพี่ไม่ชอบ” สกรรจ์ดึงมือหญิงสาวออกอย่างสุภาพ
“ดามีอะไรน่ารังเกียจนักเหรอคะ!” คนที่มั่นใจเต็มร้อยว่ารูปร่างหน้าตา รวมทั้งฐานะชาติตระกูลเลิศเลอไปหมดทุกอย่าง แหวขึ้นอย่างเหลืออด
“ดาไม่มีอะไรน่ารังเกียจหรอก เพียงแต่พี่ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับดาเลย พี่เห็นดาเป็นแค่น้องสาวคนนึงเท่านั้น แล้วมันก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้เด็ดขาด” สกรรจ์อธิบายอย่างใจเย็น
“แต่ดารักพี่สกรรจ์นะคะ แล้วก็ไม่ได้รักแบบพี่ชายด้วย”
“สำหรับพี่ ดาคือน้องสาวเท่านั้น และถ้าไม่อยากให้พี่หายหน้าไปเพราะความลำบากใจ ดาอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถือว่าพี่ขอร้องเถอะ อีกอย่างพี่ก็ไม่อยากมีปัญหากับพ่อของดาด้วย ดาก็รู้ว่าพ่อเลี้ยงเดชทัตกับพี่เป็นเหมือนเส้นขนาน ทำยังไงก็ไม่มีทางมาบรรจบกันได้”
“พี่สกรรจ์!”
“ดารีบลงไปเถอะ พี่ต้องรีบไปแล้ว” สกรรจ์ตัดบทเอาดื้อๆ ด้วยไม่อยากโต้เถียงกับรมิดาให้เสียเวลาอีก ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะสองทุ่มแล้ว หากปล่อยให้พริมารอนานกว่านี้คงไม่ดีแน่
“แต่ว่า...”
“เชื่อพี่เถอะดา ถ้าดาทำตามที่พี่บอก พี่สัญญาว่าเร็วๆ นี้พี่จะพาดาไปเที่ยวในเมืองอีก แต่ถ้าดายังดื้ออยู่ พี่จะไม่มาให้ดาเห็นหน้าอีกเลย แล้วดาก็รู้ดีนะว่าพี่มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ดาเข้าไปหาพี่ที่บ้านได้ด้วย” ชายหนุ่มยื่นคำขาด ดวงตาสีดำสนิทไร้แวววูบไหว
รมิดาไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาอ้างหรือต่อรองได้อีก เพราะรู้ว่าสิ่งที่สกรรจ์พูดมาทั้งหมดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริง ถ้าหากต้องการอยู่ใกล้ชิดเขา อยากได้เขามาเป็นสมบัติส่วนตัว เธอก็ควรทำตามทุกอย่าง ถึงแม้มันจะขัดกับความรู้สึกของตัวเองไปบ้างก็ตาม
“ก็ได้ค่ะ ดาจะไม่ดื้ออีกแล้ว แต่พี่สกรรจ์ก็อย่าลืมสัญญานะคะ” หญิงสาวหันมายิ้มให้
“พี่ไม่ลืมหรอกครับ ดารีบไปเถอะ”
“ค่ะ ถ้างั้นก็ขับรถดีๆ นะคะ”
“โอเคครับ”
เมื่อหนุ่มหล่อรับคำ หญิงสาวถึงได้ยอมเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถไป ยืนปั้นยิ้มรอให้รถของเขาเคลื่อนตัวไปจนลับตา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวอีกครั้ง
สกรรจ์กำลังทำตัวผิดปกติ ตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ แต่คนช่างจับผิดอย่างรมิดาดูออก ปกติไม่ว่าเธอจะดื้อด้านอย่างไร สกรรจ์ก็ไม่เคยกล้าขู่ตัดขาดถึงขนาดนี้ แล้วไหนจะเรื่องที่ห้ามไม่ให้เธอไปหาที่บ้านโดยพลการนั่นอีก ชายหนุ่มต้องซุกซ่อนบางอย่างอยู่แน่
คนอย่างรมิดาจะต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้!
