บทที่ 4 ไม่สำคัญ
“อื้อ”
แสงตะวันยามเช้าสาดส่องกระทบมายังคนทั้งสองที่นอนกอดกันกลมบนเตียงหนานุ่ม มิลินาลืมตาขึ้นจากการหลับใหล ก่อนพบใบหน้าของกฤตภาสห่างกันไม่กี่คืบ
‘เราเป็นของพี่ภาสแล้วสินะ’
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่เธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้เขารับผิดชอบ ในเมื่อคือข้อตกลงระหว่างกัน ภายในหัวขณะนี้ตีพันกันยุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทำยังไงดี
มิลินาค่อย ๆ ยกแขนแกร่งออกจากเอวคอดอย่างระมัดระวัง กลัวทำอีกคนตื่น
“อื้อ จะไปไหน” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ขณะนัยน์ตาดำขลับยังคงปิดสนิท
“มิ้นต์จะกลับแล้วค่ะ” เมื่อข้อตกลงระหว่างกันสิ้นสุด เธอยอมเป็นของเล่นให้เขาหนึ่งคืน ฉะนั้นนับจากนี้ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
“ใครอนุญาตให้เธอกลับ”
“ทำไมมิ้นต์ต้องรอให้ใครอนุญาตด้วยคะ”
“อย่าทำให้ฉันโมโหตั้งแต่เช้า” เบิกตาขึ้นมองคนตัวเล็กอย่างไม่พอใจกับประโยคเมื่อสักครู่
“มิ้นต์ทำอะไรผิดล่ะคะ”
“นอนซะ เมื่อคืนฉันเหนื่อยมาก” คนเอาแต่ใจสั่งเสียงเข้ม ก่อนข่มตาหลับลงพลางกระชับกอดเธอ เพื่อรั้งคนในอ้อมแขนไม่ให้หนี
“เอาแต่ใจที่สุดเลย” เสียงหวานบ่นอุบอิบ
“ฉันได้ยินนะ”
“ปล่อยมิ้นต์ได้ไหมคะ มิ้นต์ยอมนอนก็ได้”
“ไม่ได้” ปฏิเสธเสียงแข็ง มิลินาจำใจต้องข่มตาหลับคาอ้อมกอดของคนตัวโตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากหญิงสาวได้นอนหลับเต็มอิ่ม ก็ปรือตาขึ้นในช่วงบ่ายของวัน เนื่องจากรู้สึกหิวมาก
“หิวจัง” เธอมองคนข้างกายที่ยังคงหลับสนิท ไม่มีท่าทีจะตื่นง่าย ๆ ก่อนยกแขนกำยำออกจากเอวบอบบาง
เท้าเล็กแตะลงสู่พื้นห้องก่อนย่องไปยังตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ของเขาขึ้นมาสวมใส่
“มิ้นต์ขอยืมใส่หน่อยนะคะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเบา ๆ จากนั้นย่างกรายไปยังห้องครัว
หญิงสาวเปิดตู้เย็นพร้อมนำวัตถุดิบที่มีมาปรุงอาหาร ระหว่างกำลังวุ่นวายกับอาหารบนเตาแก๊ส ไม่อาจล่วงรู้เลยว่ากำลังถูกสายตาคมกริบจ้องมอง
“ว้าย! พี่ภาส” อุทานเสียงหลงหลังจากหันหลังไปเจอกับคนตัวโตยืนพิงประตูห้องด้วยสภาพชุดคลุมอาบน้ำ บ่งบอกให้รับรู้ว่าเขาชำระล้างร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ทำอะไรของเธอ”
“มิ้นต์หิวค่ะ ก็เลยมาหาอะไรกิน พี่ภาสจะกินด้วยกันไหม”
“อืม” ตอบรับสั้น ๆ ในลำคอ
นัยน์ตาคมกริบจ้องมองมิลินาสวมใส่เสื้อเชิ้ตของตนเอง สามารถมองเห็นด้านในชัดเจนทำเอาใบหน้าคมคายเห่อร้อน
“ขอโทษนะคะ มิ้นต์ใส่โดยไม่ได้ขอ”
“ช่างเถอะ” ตอบปัดอย่างไม่แยแส ก่อนย่างเท้าไปข้างในและนั่งลงตรงข้ามหญิงสาว
ทั้งสองคนรับประทานอาหารกันเงียบ ๆ ไม่ได้พูดคุยสักประโยค มิลินาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเพราะรู้สึกเขินอายกับเรื่องเมื่อคืน
“เอ่อ มิ้นต์อิ่มแล้ว ขอตัวก่อน” เธอกินข้าวไม่หมด เนื่องจากรู้สึกถึงแววตาของอีกคนกำลังจ้องมองเธอตลอดเวลา
“เดี๋ยว”
“คะ” เอี้ยวหน้ามองเขาพลางเลิกคิ้วสวยขึ้นอย่างสงสัย
“เธอยังกลับไม่ได้”
“ทำไมคะ”
“เธอต้องไปธุระกับฉันก่อน”
“แต่มิ้นต์ไม่มีชุดใส่นะคะ”
“เดี๋ยวฉันให้คนเอามาให้”
“ค่ะ” ตอบรับอย่างเข้าใจ ก่อนย่างเท้าออกจากห้องครัวและตรงไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
ทันทีที่ย่างเท้าออกมาก็พบกับถุงเสื้อวางไว้บริเวณปลายเตียง ไม่ต้องบอกพอรับรู้ใครเป็นคนเอามาให้
“จะพาไปไหนของเขานะ”
หญิงสาวนำชุดออกจากถุง ก่อนเบิกตากว้างกับชุดเดรสรัดรูปสีดำ
“นี่เขาจะให้เราใส่ชุดแบบนี้จริงเหรอ” เสียงหวานพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของกฤตภาส
“แต่งตัวเสร็จยัง”
“เอ่อ คือ” หันขวับมองคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่
“มีอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสงสัยกับท่าทางของอีกคน
“มีชุดอื่นไหมคะ” ถึงเธอจะแต่งกายด้วยชุดเดรสประจำ แต่นี่สั้นเกินไปและค่อนข้างเซ็กซี่
“ใส่ ๆ ไปเถอะ อย่าเรื่องมาก” เอ่ยบอกอย่างหัวเสีย ก่อนหันหลังเดินจากไปและปิดประตูดังสนั่นทำเอามิลินาสะดุ้งโหยง
“เฮ้อ…” ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สุดท้ายหญิงสาวไม่มีทางเลือก จำใจใส่ชุดเดรสตัวนั้นที่มีความยาวถึงแค่ต้นขา
มิลินาย่างเท้าออกจากห้องด้วยท่าทางเคอะเขิน พยายามดึงกระโปรงลงมาปิดต้นขา และยกแขนเรียวข้างหนึ่งปิดทรวงอกอวบอั๋นอย่างไม่มั่นใจในการแต่งกาย
“พี่ภาสคะ มิ้นต์ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้! อย่าเรื่องมาก” ชายหนุ่มตะคอกใส่หน้าหวานก่อนคว้าท่อนแขนเล็กและกระชากให้เดินตามหลังไปด้วยกัน
เมื่อมาถึงลานจอดรถ กฤตภาสยัดร่างเล็กเข้าไปด้านในรถก่อนอ้อมไปฝั่งคนขับ
“วันนี้ฉันมีแข่ง” ระหว่างรถแล่นตามท้องถนน เจ้าของกายแกร่งหันมาบอกคนตัวเล็กที่นั่งเงียบตลอดทาง
“อ๋อค่ะ” ตอบรับอย่างเข้าใจ โดยไม่ถามอะไรมากนัก
เพราะเธอชอบเขามาก ๆ จึงรู้เกี่ยวกับงานอดิเรกของอีกคน นอกจากเขาจะประกอบธุรกิจรถยนต์ ก็ยังชื่นชอบการแข่งรถมากด้วยเช่นกัน
“ลงมาสิ” สั่งเสร็จ กฤตภาสเปิดประตูลงจากรถทันใด โดยไม่คอยให้คนตัวเล็กตอบโต้สักประโยค
“เอาแต่สั่งอยู่ได้” มิลินาบ่นอุบอิบ ถึงกระนั้นยอมทำตามคำสั่งของคนตัวโต
“เดี๋ยวไปเปลี่ยนชุดแป๊บหนึ่ง เธอรอแถวนี้แหละ”
“ค่ะ”
กฤตภาสหายไปไม่นานก็กลับมาหาเธออีกครั้ง ในสภาพชุดแตกต่างจากตอนปกติ มิลินาไม่ทันเอ่ยถามประโยคใด เขาจับข้อมือเล็กให้เดินไปด้วยกันยังสนามแข่ง
“กว่าจะมานะมึง” ทันทีที่กายแกร่งปรากฏ เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทันใด
“อืม”
“โอ๊ะ! วันนี้มีสาวสวยมาด้วยเหรอ” ขุนเขาจ้องมองมิลินาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยความสนใจในตัวหญิงสาว แอบประหลาดใจเล็กน้อยที่กฤตภาสพาผู้หญิงมาด้วย
“ไม่ต้องยุ่ง” เขาดันร่างเล็กไปด้านหลังตนเอง
“หวงซะด้วย”
“ไม่ได้หวงเว้ย!” ตอบกลับเสียงดังสนั่น คนอย่างเขาไม่มีทางหวงน้องสาวของเพื่อนหักเหลี่ยมเด็ดขาด
“งั้นกูขอได้ไหม” ขุนเขาพูดยั่วอารมณ์คนตรงหน้าด้วยความรู้สึกสนุก ที่ได้เห็นกฤตภาสแสดงท่าทีไม่พอใจกับคำพูดของตนเอง
“อยากได้ยัยนี่ก็เอาไปสิ”
“พี่ภาสคะ มิ้นต์ไม่ไป” เอ่ยบอกคนตัวโตเสียงแผ่วพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนเพื่อขอความเห็นใจ
“ว่าไงล่ะไอ้ภาส สรุปจะให้หรือไม่ให้”
“เอาไปสิ” ชายหนุ่มผลักแผ่นหลังเล็กจนมิลินาล้มลงกระแทกพื้น
“เฮ้ย! ไม่เห็นต้องรุนแรงกับน้องเขาเลย” ว่าแล้ว ขุนเขารีบช่วยประคองคนตัวเล็กลุกขึ้นยืน
“กูไม่แข่งแล้ว น่ารำคาญชะมัด” กฤตภาสบอกอย่างหัวเสีย ก่อนหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่แยแส มิลินามองตามแผ่นหลังกว้างด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์
“ทำไงดีล่ะ มันไปซะแล้ว”
“ปล่อยมิ้นต์ไปเถอะ” หญิงสาวถอยหลังออกห่างคนตรงหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัว รู้สึกผิดหวังต่อกฤตภาสเหลือเกินทำราวกับตนเองเป็นแค่สิ่งของ
“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ไม่ได้ใจร้ายเหมือนกับไอ้ภาสสักหน่อย”
“ปล่อยฉันไปเถอะ” มือเรียวยกขึ้นไหว้คนตรงหน้าเพื่อขอความเมตตา
“ในเมื่อตอนนี้ไม่มีแข่งรถแล้ว งั้นไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”
“ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่อยากไปไหนทั้งนั้น” เธอไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ขนาดผู้ชายที่รู้จักมานานอย่างกฤตภาสยังทำเช่นนี้กับตัวเองได้ลงคอ
“แค่กินข้าวเฉย ๆ พี่รับรองไม่ทำอะไรแน่นอน”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นคงปล่อยกลับไม่ได้แล้วสิ”
“ขอร้องเถอะ พวกคุณมีปัญหาอะไรกันก็ไปเคลียร์กันเองเถอะ อย่าดึงฉันไปเกี่ยวข้องเลย”
“แต่ไอ้ภาสมันยกน้องให้พี่แล้วนะครับ”
“ฉันไม่ใช่สิ่งของของใคร” ตอบกลับอย่างโมโห ทำขุนเขาหัวเราะอย่างชอบใจกับท่าทีของหญิงสาว
“พี่ไม่ทำอะไรหรอก พี่แค่อยากเห็นอะไรสนุกนิดหน่อย ไปกันเถอะ” แค่อยากจะเช็กบางอย่างจากกฤตภาสเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องกลับมารับหญิงสาวแน่นอน
“ไม่ไป”
“ไปเถอะ” คราวนี้ขุนเขาไม่ฟังคำปฏิเสธของเธอ คว้าข้อมือเล็กให้เดินไปด้วยกัน ถึงมิลินาจะขัดขืนก็ไม่สนใจ ก่อนยัดคนตัวเล็กเข้าไปในรถและขับรถไปยังจุดหมายปลายทาง
