ล่องไพรวิจัยรัก

172.0K · จบแล้ว
คมพยัคฆ์
62
บท
1.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ภูวิศทนายความหนุ่มผู้เย่อหยิ่งทระนงที่ผิดหวังจากความรักจนต้องเดินทางกลับมาบ้านเพื่อให้ลืมเรื่องราวในอดีตทั้งหมด จนวันหนึ่งโชคชะตาก็ทำให้เขามาพบกับร้อยโทแพทย์หญิงนวินดาที่เดินทางมาตามหาพี่ชายที่หายตัวไปอย่างลึกลับในผืนป่าดงพญาไฟ ภูวิศที่เป็นอดีตนายพรานผู้ชำนาญทางในป่าลึกดงพญาไฟ จึงทำให้เขาและเธอต้องร่วมกันเดินทางเข้าไปในป่าลึกที่มีแต่สัตว์ป่าที่ดุร้ายและสิ่งเร้นลับอาถรรพ์จากภูติผีมากมาย

นิยายผจญภัยสยองขวัญทหารแฟนตาซี นิยายสยองขวัญพระเอกเก่งนิยายแฟนตาซีนิยายรักทนายความ18+

ตอนที่1 [หมู่บ้านเนินไพรงาม]

ล่องไพรวิจัยรัก

ตอนที่ 1  

[ หมู่บ้านเนินไพรงาม ]

หมู่บ้านเนินไพรงามเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากผืนป่า ดงพญาไฟ ประมาณ40กว่ากิโลเมตร ดงพญาไฟเป็นผืนป่าที่มีอาณาเขตกว้างไกลครอบคลุม 6 จังหวัดคือ จังหวัดนครราชสีมา ,สระบุรี,นครนายก,ปราจีนบุรี สระแก้วและบุรีรัมย์

ดงพญาไฟเป็นผืนป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยต้นไม้นา ๆ พรรณ ที่ยืนต้นชูใบเขียวชะอุ่ม และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าน้อยใหญ่มากมาย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับอาถรรพ์ ของภูติผีต่าง ๆ ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านในพื้นที่ 6 จังหวัดนี้เป็นอย่างมาก ใครก็ตามที่ย่างกรายเข้าไปในป่าผืนนี้ โอกาสที่จะมีชีวิตรอดกลับมาน้อยมาก  มีนายพรานมากมายต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่ป่าดงพญาไฟแห่งนี้  อีกทั้งยังมีพระเกจิอาจารย์จากที่ต่าง ๆ มากมายหลายรูป ที่เดินธุดงค์ เข้าไปปักกรดนั่งบำเบ็ญตะบะเพื่อฝึกสมาธิ ทดสอบวิชาอาคม  แต่พระภิกษุหลายรูป ต่างก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งในป่าแห่งนี้ ที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะพระภิษุเกจิอาจารย์เหล่านั้น ไม่มีวิชาคาถาอาคมที่เก่งกล้าพอ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชาวบ้านและพระเกจิอาจารย์ในพื้นที่ทั้ง 6 จังหวัดต่างพากันหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าไปในผืนป่าแห่งนี้อีกเลย

 สืบเนื่องมาถึงในรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ได้ทรงรับรู้ถึงเเรื่องราวและความน่ากลัวของผืนป่าดงพญาไฟแห่งนี้ จึงทรงเปลี่ยนชื่อ ดงพญาไฟ  มาเป็น ดงพญาเย็น เพื่อให้เกิดความร่มเย็น เป็นสุข และเป็นศิริมงคล เพราะชื่อนี้จะช่วยให้ชาวบ้านเลิกความหวาดกลัวป่าแห่งนี้ลงได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ตามชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังคงเรียกดงพญาไฟเหมือนเดิม และผืนป่าดงพญาเย็นแห่งนี้ ก็ยังเป็นผืนป่าที่มีภัยอันตรายจากสัตว์ป่าที่ดุร้ายและความน่ากลัวจากสิ่งลี้ลับอาถรรพ์จากภูติผีมากมายมาจนถึงปัจจุบัน จวบจนมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีผู้ใดที่อยากย่างกรายเดินทางเข้าไปในผืนป่าดงพญาเย็น หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ 

        *****************************

ณ.หมู่บ้านเนินไพรงาม

ในอดีตพื้นที่บริเวณหมู่บ้านเนินไพรงาม เป็นป่าดงดิบที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นรกทึบเต็มไปหมด ต่อมาเมื่อความเจริญเข้ามาแทนที่ จึงมีชาวบ้านเดินทางเข้ามาบุกรุกแผ้วถางตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกสร้างทำเป็นที่อยู่อาศัย แต่เดิมบริเวณป่าแห่งนี้มีพื้นที่เป็นเนินสูงและเคยเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์สวยงามและเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่  ชาวบ้านจึงพากันเรียกหมู่บ้านแห่งนี้ว่า "หมู่บ้านเนินไพรงาม" เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน                                                                                                                                                                                                              ท่ามกลางหมู่บ้านเนินไพรงามมีไร่แห่งหนึ่งชื่อไร่พลอยไพรสณฑ์ เมื่อมองไปจากไร่ที่เป็นเนินสูง ก็จะมองเห็นบ้านไม้สักทรงไทยสองชั้นหลังใหญ่ที่มองดูสูงตระหง่านสวยงามอยู่ไม่ไกลจากไร่มากนัก ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่  ผมสีดอกเลา สีหน้าและแววตาบ่งบอกว่าเป็นคนใจดี มีเมตตา แต่งกายในชุดม่อฮ่อมสีน้ำเงินเสื้อแขนสั้น มีผ้าขาวม้าลายผ้าไหมคาดเอว  กำลังนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้โยกไม้สักตัวเดิมเหมือนทุก ๆ วัน เขาคือเจ้าของบ้านไม้สักหลังนี้และเป็นคนที่ชาวบ้านในละแวกนี้รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม กำนันภพ 

ในอดีตกำนันภพ หรือ นายภพ  พลอยไพรสณฑ์ในวัย 21 ปี ได้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร  และได้ไปเป็นทหารที่กองพันทหารราบที่ ค่ายพิทักษ์โยธินจังหวัดสระบุรี และรับราชการทหารที่นั่นจนครบ 2 ปี หลังจากปลดประจำการ  นายภพก็กลับมาอยู่บ้านเกิดของตน เพื่อมาช่วยพ่อแม่ทำไร่และฟาร์มวัวนมที่ไร่พลอยไพรสณฑ์  เพราะงานทำไร่และเลี้ยงวัวเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านเนินไพรงาม  เนื่องจากนายภพเกิดในหมู่บ้านที่ติดกับป่าเขา จึงมีความชำนาญในการเดินป่าล่าสัตว์ป่าและหาของป่าในพื้นที่ผืนป่าดงพญาเย็นเป็นอย่างดี

นายภพได้แต่งงานกับสาวสวยในหมู่บ้านเดียวกันชื่อ พลอยมณี  มีบุตรด้วยกันสองคน คนโตเป็นชาย ชื่อ ภูวิศ คนเล็กเป็นหญิงชื่อ นนทิญา ภรรยาของนายภพเสียชีวิตด้วยไข้ป่าหรือไข้มาลาเรียตั้งแต่บุตรทั้งสองยังเรียนอยู่ชั้นประถม ปล่อยให้นายภพ ผู้เป็นพ่อต้องรับภาระดูแลเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนตามลำพัง แต่ด้วยที่นายภพเป็นคนดีและมีความขยันหมั่นเพียร มานะอดทนเป็นคนพูดจริงทำจริง มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ เป็นคนมีคุณธรรม  นายภพจึงได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านเนินไพรงาม และด้วยความที่ผู้ใหญ่ภพเป็นผู้ใหญ่นักพัฒนา จนทำให้หมู่บ้านเนินไพรงามจากที่เคยเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญและทุรกันดาร มีความเจริญรุ่งเรือง จนเป็นที่รักใคร่และเคารพนับถือของชาวบ้านเนินไพรงามเป็นอย่างดี นายภพจึงได้รับการเลือกตั้งให้เป็นกำนันมาจนถึงวันนี้

ภูวิศบุตรชายคนโตเมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ก็ได้ขอกำนันภพไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ ฯ จนจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ หลังจากที่เขาเรียนจบก็ได้งานทำที่สำนักงานทนายความที่กรุงเทพ ฯ ภูวิศได้ทำงานที่นั่นได้ 3 ปีแล้ว เขามีความสุขกับงานที่เขารัก เขาตั้งใจว่าจะทำงานที่นั่นให้นานที่สุด เพราะตำแหน่งและหน้าที่การงานของเขาถือว่าเป็นงานที่มั่นคง อีกอย่างก็จะได้อยู่ใกล้หญิงสาวที่เขารัก และหวังที่จะแต่งงานกันในอนาคต  แต่จู่ ๆ ก็มีเหตุให้เขาต้องลาออกจากงานและกลับมาบ้านอย่างกระทันหัน โดยไม่มีใครรู้สาเหตุ  การลาออกจากงานและเดินทางกลับมาบ้านของเขาในครั้งนี้ ทำให้กำนันภพผู้เป็นพ่ออดที่จะสังสัยไม่ได้ว่าทำไมลูกชายของเขาจึงต้องลาออกจากงาน ผู้เป็นพ่อถามลูกชายก็ได้แต่บอกว่าอยากกลับมาอยู่บ้าน ผู้เป็นพ่อก็คิดว่าลูกชายอาจจะไม่อยากบอกความจริง จึงไม่อยากที่จะถามอะไรมาก แต่การกลับมาบ้านในครั้งนี้  ลูกชายเขาเปลี่ยนไปมาก จากคนที่เคยร่าเริงแจ่มใส ก็กลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร ไม่สนใจใครแม้กระทั่งตัวเอง  ปล่อยผมยาวประบ่า ไว้หนวดไว้เครารุงรัง วัน ๆไปขลุกอยู่แต่ในไร่ในสวน และฟาร์มวัว ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร คงจะมีแต่นนทิญาน้องสาวของเขาเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรที่ทำให้พี่ชายของเธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

  

หนึ่งปีผ่านไป…ที่ไร่พลอยไพรสณฑ์

เช้าวันนี้อากาศแจ่มใส พระอาทิตย์ยามเช้า เริ่มโผล่ขึ้นมาสาดแสงอ่อน ๆ มากระทบต้นไม้ที่ยืนต้นแผ่กิ่งก้านและใบรับแสงแดดและสายลมที่พัดมาเอื่อย ๆ คลอกับเสียงนกกาที่กำลังออกหากิน ร้องกันเซ็งแซ่ ไปทั่วบริเวณไร่แห่งนี้

ภูวิศหนุ่มใหญ่ในวัย 30 ปี  อดีตทนายความหนุ่มรูปหล่อ จากที่เคยใส่สูทผูกเนคไท ตอนนี้เขาไม่เหลือคราบความเป็นทนายความอีกเลย เขานั่งอยู่ที่ศาลากลางน้ำไม้สักที่มุงด้วยหญ้าคาที่สำหรับไว้นั่งเล่นข้าง ๆ บ้านของเขา สายตาเหม่อลอยไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ในใจหวนคิดถึงอดีตที่แสนจะขมขื่น จากอดีตของคนที่มีการศึกษา มีหน้าที่การงานที่มั่นคง กลับกลายมาเป็นคนที่มีแต่ความซึมเศร้า มีแต่ความบอบช้ำในใจ น้ำตาที่อยากให้มันไหลออกมา แต่มันกลับตกไปอยู่ข้างใน ความเจ็บช้ำครั้งนี้ทำให้เขาต้องทิ้งอดีตทุกอย่างไว้ในเมืองกรุง กลับมานอนรักษาแผลใจ ความเจ็บปวดครั้งนี้ คงทำให้เขาไม่คิดที่จะรักใครได้อีกแล้ว เขาล้วงไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบรูปของผู้หญิงคนนั้นออกมาดู แล้วโยนทิ้งลงไปในน้ำ เหมือนจะบอกว่า ตอนนี้เขาไม่มีเยื่อใยอะไรกับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว เพราะต่อไปนี้ทุกอย่างมันคงเหลือแค่เพียงอดีตเท่านั้น เขามองตามรูปที่เปียกน้ำและค่อย ๆ จมลงไปในน้ำทีละน้อย ๆ จนจมลงไปใต้น้ำ เปรียบเหมือนความรักที่เขาเคยให้ไว้กับคนในรูป ที่มันเริ่มจมหายไปจากความทรงจำของเขาไปทีละน้อย ๆ เช่นกัน และก็ขอให้ความรู้สึกดี ๆ ที่เขาเคยมีต่อเธอ ให้มันจมหายไปพร้อมกับรูปใบนั้นตลอดไป

         *****************************

ณ.บ้านเมฆาพิทักษ์ ( กรุงเทพฯ )

คฤหาสน์หลังใหญ่สองชั้น ราคาหลายสิบล้านบนเนื้อที่เกือบ 4ไร่  มันช่างสวยงามใหญ่โตหรูหราและกว้างขวางเสียยิ่งนัก เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ คือ พันเอกรวินท์ เมฆาพิทักษ์ เป็นผู้บังคับกองพันทหารม้าค่ายพิทักษ์โยธินจังหวัดสระบุรี พันเอกรวินท์ มีภรรยาชื่อคุณหญิง โสภิตา เมฆาพิทักษ์ พันเอกรวินท์มีบุตรด้วยกัน 2 คน บุตรชายคนโต ชื่อ นิติพัฒน์ บุตรสาวคนเล็กชื่อ นวินดา วันหนึ่งผู้บังคับบัญชาทางหน่วยงานของกองทัพบกได้มีคำสั่งให้พันเอก รวินท์ นำกำลังทหารออกไปช่วยรบที่ชายแดน กองกำลังทหารของพันเอกรวินท์เกิดการปะทะกับฝ่ายตรงข้าม และสู้รบกันอย่างหนัก เป็นเหตุให้พันเอกรวินท์ เสียชีวิตในสนามรบ เมื่อคุณหญิงโสภิตาและบุตรทั้งสองรู้ข่าวการตายของพันเอกรวินท์  ต่างก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่พันเอกรวินท์เสียชีวิตไปแล้ว คุณหญิงโสภิตาก็ต้องรับภาระดูแลเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนตามลำพัง คุณหญิงโสภิตาส่งเสียบุตรทั้งสองจนเรียนจบและมีหน้าที่การงานกันทั้ง 2 คน นิติพัฒน์ บุตรชายคนโตเรียนจบปริญญาโทที่มหาวิทาลัยศิลปากรและได้เป็นอาจารย์สอนคณะโบราณคดีอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรที่กรุงเทพ ฯ ส่วน นวินดา น้องสาว เธออยากเป็นทหารเหมือนคุณพ่อจึงขอคุณหญิงโสภิตาผู้เป็นแม่ไปเรียนนายร้อยจปร. จนจบได้เป็นทหารเสนารักษ์ของกรมแพทย์ทหารบก และได้เข้าทำงานที่โรงพยาบาลค่ายพิทักษ์โยธิน จังหวัดสระบุรี นวินดา หรือ ร้อยโทแพทย์หญิง นวินดา  เมฆาพิทักษ์  ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลค่ายพิทักษ์โยธินที่จังหวัดสระบุรี และพักอยู่ที่นั่น นาน ๆ จะได้ลากลับบ้านที่กรุงเทพ ฯ  

นิติพัฒน์หนุ่มใหญ่ไฟแรง  เป็นคนที่จริงจังกับการทำงาน เขาชอบออกไปสำรวจหาข้อมูลและหลักฐานทางโบราณคดีตามต่างจังหวัดอยู่เป็นประจำ  ปิดเทอมปีนี้เขาได้นำคณะนักศึกษาออกไปสำรวจที่ผืนป่าดงพญาเย็นเพื่อหาหลักฐานข้อมูลของปราสาทหินโบราณที่สูญหายไปนับพันปี  เขาเชื่อว่า…โบราณสถานแห่งนี้ยังมีอยู่จริง เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินทางเข้าไปสำรวจ  หลังจากที่เขาจัดหาคณะที่จะร่วมเดินทางได้แล้ว เขาก็เดินทางไปยังหมู่บ้านชายป่าดงพญาเย็น โดยมีธนากรเพื่อนสนิทของเขาที่เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรด้วยกันขับรถไปส่ง 

คณะนักสำรวจของนิติพัฒน์มีนักศึกษาชายมาด้วย 3 คน  เขาไปถึงหมู่บ้านดงลึก ก็ได้ว่าจ้างนายพราน 3 คน มีพรานกล้าพรานสอนและพรานเมฆ ให้เป็นนายพรานนำทางให้ พร้อมกับชาวบ้านที่รับจ้างเป็นลูกหาบอีก 3 คน รวมทั้งหมด 10 คน นายพรานและลูกหาบต่างก็รู้ว่าผืนป่าดงพญาเย็นแห่งนี้ มันเป็นป่าอาถรรพ์ที่มีอันตราย แต่ด้วยค่าจ้างที่เป็นเงินก้อนโตที่เป็นค่าตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับจาก นิติพัฒน์ นั้นมันมากพอที่จะทำให้ครอบครัวของพวกเขามีกินมีใช้และสุขสบายไปอีกนาน  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาตัดสินใจรับจ้างนำทางให้กับคณะนักสำรวจของนิติพัฒน์เข้าไปในป่าดงพญาเย็น

ผู้ใหญ่ผันที่เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านดงลึกกับพวกชาวบ้านรู้ว่าพวกคณะสำรวจของนิติพัฒน์จะเข้าไปในป่า ต่างพากันห้ามไม่ให้พวกเขาเดินทางเข้าไป ในผืนป่า ดงพญาเย็นแห่งนี้ แต่ด้วยความที่นิติพัฒน์เป็นคนหัวสมัยใหม่ และเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องราวแบบนี้อยู่แล้ว เขาจึงไม่เชื่อและยังคงยืนยันที่จะพาคณะสำรวจเข้าไปในป่าดงพญาเย็นให้ได้  และในที่สุดพวกเขาก็พากันเดินทางเข้าไปในป่าจนได้