ตอนที่ 2 อาณาจักรฉินโบราณ
“เจียฮว๋าซาน ถือเป็นภูเขาไฟที่เชื่อกันว่าทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกเราที่เคยถูกบันทึกไว้…
สี่พันปีก่อนคริสตกาล ในยุคจีนโบราณ ราชวงศ์ฉินรวบรวมแผ่นดินแถบนั้นทั้งหมดขึ้นสถาปนาเป็นอาณาจักรฉินได้ในวันที่ปากปล่องภูเขาไฟเปิดส่งควันพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าพอดี ผู้คนเชื่อกันว่ามันเป็นการส่งสัญญาณร่วมแสดงความยินดีจากเทพเจ้า คนในยุคนั้นจึงมีความเชื่อฝังใจว่าอาณาจักรฉินและเจียฮว๋าซานมีความเกี่ยวโยงอย่างแน่นแฟ้นเป็นดังสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรมานับแต่นั้น
ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ระบุว่า... เมื่อแรกเริ่มก่อตั้งอาณาจักรฉิน ศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ไม่ไกลจากใจกลางของแผ่นดินไหวมากนักในตำแหน่งของเมืองโจวโบราณ ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงออกมาให้ไกลขึ้นและก่อสร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ชื่อว่าเมืองฉิน เพราะเมืองโจวนั้นเล็กและห่างไกลความอุดมสมบูรณ์สภาพพื้นดินและอากาศก็ไม่เหมาะกับการเพาะปลูก แต่กระนั้นเมืองโจวก็ยังเป็นเขตแดนสำคัญที่ศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรฉิน และผูกพันกับความรุ่งเรืองของกษัตริย์มาทุกยุคทุกสมัย
พวกเขาเชื่อว่าการปะทุของภูเขาไฟแต่ละครั้งเหมือนการสำแดงพลังจากเทพเจ้า ยิ่งยุคสมัยใดเจียฮว๋าซานสำแดงอำนาจมากบ้านเมืองก็จะยิ่งเจริญก้าวหน้ามาก นั่นเพราะที่ผ่านมาการปะทุของเจียฮว๋าซานไม่เคยรุนแรงจนทำให้เกิดความสูญเสียใหญ่เลยสักครั้ง สิ่งที่แสดงออกมามีเพียงการที่ส่งควันขาวพวยพุ่งสู่ฟ้าและการร้องคำรามของภูเขากับแผ่นดินไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาจึงคิดว่ามันเป็นการสื่อสารจากเทพเจ้ามากกว่าที่จะเป็นภัยพิบัติของธรรมชาติ… พวกเขายังไม่รู้จักภูเขาไฟและยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นภัยมหันต์
จนมาถึงยุคของฮ่องเต้หวงตี้ ที่เกิดเหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งรุนแรงฆ่าล้างคนทั้งเมืองโจวกว่า 30,000 ชีวิตและหนึ่งในนั้นคือคนสำคัญอย่างโจวหยางอ๋องผู้เกิดมาพร้อมกับคำทำนายว่าเป็นบุตรของเทพเจ้า เปี่ยมไปด้วยความสามารถและเหมาะสมกับการเป็นกษัตริย์คนต่อไปมากที่สุด
คนยุคนั้นเชื่อว่าที่ภูเขาไฟระเบิดรุนแรงจนทำลายทั้งเมืองเป็นความพิโรธของเทพภูเขาไฟที่ชิงชังชายกาลกิณีป๋ายอี้หลินที่มายั่วยวนโจวหยางอ๋องจนละทิ้งขนบธรรมเนียมของบ้านเมืองไปแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน ท่านจึงได้แสดงอภินิหารลงโทษทำลายเมืองโจวที่โจวหยางอ๋องและป๋ายอี้หลินอาศัยอยู่จนย่อยยับ..
หลังจากที่เมืองโจวถูกทำลายไป อาณาจักรฉินก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมลงทุกวันและถูกอาณาจักรอื่นรุกรานอยู่บ่อยครั้งจนหลังจากนั้นไม่ถึงสามสิบปีอาณาจักรฉินก็ล่มสลายไป
ชาวเมืองทุกคนในยุคนั้นเชื่อมโยงเหตุการณ์การที่อาณาจักรฉินอ่อนแอลงว่าเป็นเพราะไม่มีเทพเจ้าภูเขาไฟช่วยปกปักรักษาอาณาจักรอีกต่อไปแล้ว พวกเขาจึงพากันสาปแช่งป๋ายอี้หลินและโจวหยางอ๋องว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด
จนภายหลังที่นักโบราณคดีขุดพบหลักฐานต่างๆ ได้มากขึ้นพวกเขาจึงมาวิเคราะห์กันว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้อาณาจักรฉินในยุคโบราณล่มสลายไปเป็นเพราะไม่มีจอมนักรบที่อหังการที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างโจวหยางอ๋องคอยอยู่ช่วยคุ้มครองอาณาจักรมากกว่า จึงทำให้ดินแดนรอบข้างที่เคยยำเกรงอาณาจักรฉินมาก่อนหมดสิ้นความกลัวพากันลุกฮือขึ้นต่อต้านและรุกรานจนสำเร็จได้ในที่สุด…"
เสียงการบรรยายยืดยาวชวนหลับของอาจารย์ในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไม่น่าสนใจเท่าไหร่นักสำหรับ ลู่หลิน ที่เลือกลงเรียนวิชานี้ในหมวดวิชาเลือกเสรีเพราะคิดว่ามันง่าย แค่ลำพังวิชาในสาขาธรณีวิทยาที่เป็นสาขาหลักของเขาก็นับว่าหนักหนามากพอแล้ว เขาจึงคิดว่ายิ่งลงวิชาเลือกให้ง่ายแค่ไหน ภาระของเขาก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
วิชาประวัติศาสตร์ดูเป็นตัวเลือกที่ดีในการสอบสำหรับคนที่ความจำแม่นอย่างเขา ไม่ต้องอาศัยความชอบหรือความอิน ไม่ต้องเชื่อตามที่ประวัติศาสตร์เขียน แค่จำชื่อคน เวลา สถานที่ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดเรื่องราวให้ได้ แค่นี้ก็ทำข้อสอบได้แล้ว...
ดังนั้นความตั้งใจของลู่หลินตั้งแต่แรกเริ่มคือเขาจะเข้าไปเช็คชื่อ ฟังบ้างหลับบ้างไปเรื่อยๆ และจะโฟกัสแค่อะไรที่อาจารย์บอกว่าออกสอบเท่านั้น
แต่พอได้ฟังอาจารย์เล่าถึงบทเรียนในวันนี้ ปากของลู่หลินก็คันขึ้นมายิบ ๆ จนอดจะยกมือขึ้นถามไม่ได้...
” ทำไมคนโบราณถึงจับเชื่อมโยงเอาพฤติกรรมรักร่วมเพศของคนคนคู่เดียวไปเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ครับ มันไม่สมเหตุสมผลเลย”
_______________
Talk#เรื่องราวทั้งหมดเป็นการสมมุติขึ้นนะคะ ไม่ใช่เหตุการณ์ หรือสถานที่จริง จริงราชวงศ์ฉินที่ไรท์พูดถึงไม่ใช่ราชวงศ์ฉินตามประวัติศาสตร์จริง ยุคสมัยไรท์สมมุติให้เกิดเรื่องราวนี้เป็นยุคจีนโบราณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาลค่ะ
