บท
ตั้งค่า

ครอบครัว

หนิงเหมยเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับความทรงจำมากมายของร่างนี้ที่ผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นมุมไหนส่วนไหนของบ้านล้วนมีแต่เรื่องราวดี ๆ ที่แม่และน้องของเธอคอยเติมเต็มให้เธอ สองพี่น้องอายุห่างกันเพียง 2 ปี โชคร้ายที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่พวกเขายังเด็ก จากนั้นมาแม่ลู่ก็เลี้ยงดูลูกทั้งสองมาด้วยตัวเอง

บ้านหลังนี้มี 3 ห้องนอน 1ห้องโถงที่มีโต๊ะกินข้าวตั้งอยู่ ส่วนด้านหน้าเป็นลานบ้านกว้าง ๆ มีแคร่ไม้ไว้ให้นั่งเล่นใต้ร่มไม้ แล้วมีห้องครัวอยู่ด้านหลังใกล้แปลงผักเล็ก ๆ ประตูหน้าบ้านมีประตูเล็กสำหรับเดินเข้า และประตูใหญ่สำหรับเปิดให้รถเข็นเข้าออกได้อย่างสะดวก

"อาเหมยไปนอนในห้องเดิมเลยนะลูก แม่ยังเก็บห้องนั้นไว้ให้ลูกเหมือนเดิม"

"จ้ะแม่ แต่ก่อนอื่นฉันมีบางอย่างที่อยากจะบอกทุกคน อาเหล่ยช่วยปิดประตูบ้านแล้วเข้ามานี่เร็วเข้า"

ทุกคนต่างหันมามองหนิงเหมยด้วยความสงสัย แม้แต่อี้เฉินที่อุ้มลูกน้อยอยู่ก็ยังไม่เข้าใจว่าภรรยาของเขาอยากทำอะไรกันแน่

"ครับ"

"มีอะไรรึเปล่าอาเหมย? ทำไมดูมีลับลมคมในแบบนั้นล่ะ"

ลู่หนิงเหมยสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาคู่สวยฉายแววตื่นเต้นและกังวลปนกันไป เธอเดินตรงไปยังโต๊ะกลางบ้านที่ครอบครัวกำลังนั่งรวมกันอยู่ บรรยากาศในห้องเงียบกริบราวกับรอคอยการระเบิดของระเบิดเวลา ความตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วห้อง ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอราวกับจะดูดเอาความลับที่กำลังจะเปิดเผยออกมา

"ทุกคนคะ มีเรื่องสำคัญที่ฉันต้องบอกให้รู้"

เสียงของเธอเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่กลับดังก้องไปทั่วห้อง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยความสงสัย อี้เฉินสามีของเธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพยายามคาดเดาว่าภรรยาคนสวยของเขากำลังจะพูดอะไร แม่ลู่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง ส่วนลู่หวังเหล่ยก็ตาโตมองพี่สาวด้วยความสงสัย

"คือว่า...ฉันมีมิติวิเศษค่ะ"

"มิติคืออะไรอาเหมย ลูกกำลังจะพูดอะไรแม่ฟังไม่เข้าใจจริง"

"งั้นแม่ดูนี่นะคะ"

หนิงเหมยพูดจบลงเธอก็ทยอยเอาของออกมาจากมิติทีละอย่าง ๆ มาวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าทุกคน ไม่ว่าจะเป็น เนื้อสัตว์ชิ้นโต ผักผลไม้ ข้าวหอมมะลิ เครื่องปรุงรสหลากหลายชนิด และแม้แต่ของใช้ในชีวิตประจำวันก็ทยอยเอาออกมาให้ทุกคนเห็นจนตาค้าง

"เอ้ย! เป็นไปได้ยังไงกันเนี่ยพี่หนิงเหมย พี่ทำได้ยังไงกัน อื้อ ของจริงนะครับแม่ หวานอร่อยมากด้วย"

เสียงลู่หวังเหล่ยดังขึ้นอย่างตื่นเต้น เขาไม่รอช้าที่จะคว้าผลไม้สีสดใสมาชิมทันที สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความอร่อยและความประหลาดใจไปพร้อมๆ กัน

"..."  "..."

อี้เฉินและแม่ลู่ต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง พวกเขามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา สิ่งที่เห็นอยู่นี้ มันเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้

"อาเหมย...นี่มันเกิดอะไรขึ้น น้องทำแบบนี้ได้ยังไงกัน?"

อี้เฉินถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาไม่เคยคิดว่าชีวิตของเขาจะได้พบเห็นเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน

"ฉันได้มิติวิเศษมาค่ะ สามารถเอาของออกมาได้มากมายตามต้องการ"

หนิงเหมยตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขใจ แต่ที่มาของมิติวิเศษกลับทำให้แม่ลู่กับอี้เฉินเริ่มกังวลใจ ไม่มีสิ่งไหนได้มาโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยน คิดได้แบบนั้นแม่ลู่ก็โผเข้ากอดลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

"แล้วอาเหมยได้มิติวิเศษมาได้ยังไงลูก"

"มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งมอบให้จ้ะแม่ ท่านเป็นเทพเซียน" หนิงเหมยตอบตามความจริงที่เธอได้รับรู้มา

"เทพเซียน! แล้วอาเหมยต้องแลกอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่อายุขัยของลูกใช่ไหม"

"ไม่ใช่จ้ะแม่ แต่ต้องแลกด้วยการเป็นคนใหม่ที่ดีกว่า เข้าใจคนอื่นมากกว่า แล้วก็รับฟังความต้องการของคนอื่น"

"ไม่ได้โกหกแม่ใช่ไหมลูก?"

"ไม่จ้ะแม่ งั้นเรามาแต่งห้องใหม่กันดีกว่านะคะ เสร็จแล้วฉันจะทำอาหารให้ทุกคนกินพร้อมกัน ว่าแต่พี่อี้เฉินหายตกใจรึยังคะ"

"หะ...หายแล้วครับคุณภรรยา"

เมื่อทุกคนเริ่มทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หนิงเหมยก็เริ่มนำของใช้ต่างๆ ออกมาจากมิติเพื่อปรับปรุงบ้านให้ดีขึ้น เธอปูเสื่อน้ำมันใหม่บนพื้นบ้าน เอาโซฟาหนังสีน้ำตาลตัวใหญ่มาวางไว้กลางห้องโถง จากนั้นก็เข้าไปจัดห้องนอนให้แม่และน้องชายให้น่าอยู่มากขึ้น

ทุกคนได้ตู้เสื้อผ้าอันใหม่ ชุดผ้านวม รวมไปถึงโต๊ะเครื่องแป้งและโต๊ะเขียนหนังสือในห้องด้วย เสร็จจากห้องของแม่กับน้องชาย หนิงเหมยก็เข้าไปจัดการกับห้องของเธอต่อ แต่ในห้องของเธอจะเต็มไปด้วยสิ่งของของลูกสาวตัวน้อย ที่จำเป็นต้องใช้

"นี่มันเยอะเกินไปแล้วนะลูก แม่กับน้องใช้ของเก่าที่มีอยู่ก็ได้"

แม่ลู่ยังอดเสียดายของเก่าที่เคยใช้ไม่ได้ ทั้งไม่รู้ว่าลูกสาวเอาเก็บไปไว้ที่ไหน หรือว่าทิ้งไปแล้วก็ไม่อาจรู้ได้ ไม่ว่าหนิงเหมยจะสัมผัสอะไรแล้วพูดคำว่า"เก็บ" สิ่งของเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

"ใช้ของใหม่ดีแล้วจ้ะแม่ อีกเดี๋ยวฉันจะเอาจักรยานออกมาไว้ให้ทุกคนใช้ ถึงตอนที่ฉันต้องไปส่งของที่โรงพยาบาลจะได้สะดวกหน่อย ส่วนของเก่าที่ฉันเก็บไว้ ถ้าแม่อยากได้หรือเสียดายฉันจะเอาออกมาให้ แต่คงต้องรอให้เรามีเนื้อที่มากกว่านี้ก่อน"

"จ้ะ เอาแบบนั้นก็ได้ลูก แค่ได้ยินว่าของยังอยู่ก็ดีแล้ว"

"รอให้พ้นหน้าหนาวปีนี้ไปก่อน ถึงตอนนั้นฉันจะสร้างบ้านหลังใหม่ให้แม่อยู่ ช่วงนี้ฉันต้องหาเงินเก็บเอาไว้ ถึงตอนนั้นขาของพี่อี้เฉินก็คงหายเป็นปกติแล้ว แม่ก็ไม่ต้องไปทำงานในแปลงนาแล้วนะจ๊ะ มาอยู่บ้านเลี้ยงหลานเถอะ ถ้าอาเหล่ยอยากเรียนต่อฉันก็จะให้น้องเรียน"

ผู้เป็นน้องชายที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับตาลุกวาว ลู่หวังเหล่ยเรียนจบแค่ชั้นมัธยมต้น จากนั้นก็ออกมาช่วยมารดาทำงานในแปลงนาเพื่อเก็บแต้มไว้แลกอาหาร ถึงจะอยากเรียนต่อแค่ไหนแต่เรื่องปากท้องในยุคนี้ย่อมสำคัญกว่า

"ผมจะได้เรียนจริง ๆ เหรอครับพี่หนิงเหมย"

"จริงสิ นายอยากเรียนสูงแค่ไหนพี่ก็จะส่งนายเรียนตามที่นายต้องการ แต่ช่วงนี้นายคงต้องอ่านหนังสือหนักหน่อยนะ ถึงเวลาค่อยไปสอบเทียบเอาวุฒิมัธยมปลาย"

"ได้ครับ ผมจะพยายามให้เต็มที่ ขอบคุณมากนะครับพี่สาว พี่เขย"

"ขอบคุณอาเหมยคนเดียวก็พออาเหล่ย พี่ยังไม่ได้ช่วยอะไรนายสักอย่าง ว่าแต่นายอยากเรียนอะไร?"

นี่เป็นครั้งแรกที่อี้เฉินรู้สึกว่าเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว แม้จะเป็นครอบครัวของภรรยาแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นซ่านในใจไม่แพ้กัน

"พี่สาวกับพี่เขยเป็นสามีภรรยากันก็เท่ากับเป็นคนคนเดียวกัน ขอบคุณทั้งคู่ก็ถูกแล้วครับ อนาคตผมอยากเป็นหมอ ผมเห็นแม่ปวดท้องบ่อย ๆ ผมเลยตั้งใจไว้ว่าอยากมีความรู้เยอะ ๆ จะได้ดูแลแม่ได้"

"ดีแล้ว ต่อไปสุขภาพของพวกเราคงต้องฝากไว้กับน้าชายของเสี่ยวอันแล้วนะ จริงไหมลูก"

"แอะ แอ้"

หนูน้อยที่ถูกอุ้มในท่านั่งอยู่บนตักพ่อส่งเสียงจ้อทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเอง ประหนึ่งว่ารับรู้สิ่งที่ผู้ใหญ่เขาพูดคุยกัน

ฟอดดด

"เสี่ยวอันของพ่อรู้มากจริง ๆ นะเรา"

แจ๊บ แจ๊บ แจ๊บ แจ๊บ

"ทำปากแบบนั้นหิวอีกแล้วใช่ไหม พี่อี้เฉินส่งลูกมาจ้ะ เดี๋ยวฉันจะเอาลูกเข้าเต้า"

"ไปหม่ำ ๆ กับแม่นะคนเก่ง"

หนูน้อยตัวจ้อยถูกส่งให้หนิงเหมยก่อนที่เธอจะพาลูกสาวกลับเข้าห้องนอนเพื่อเอาสำลีชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดเต้านม จากนั้นก็ได้เวลาอาหารของหนูน้อยที่รออยู่ ผ้าคลุมให้นมลูกถูกหยิบออกมาใช้อีกครั้งแล้วหนิงเหมยก็พาลูกเดินออกมาหาทุกคนที่รออยู่บนโซฟาตัวใหญ่

"คลุมผ้าแบบนั้นลูกจะหายใจออกไหมอาเหมย"

อี้เฉินเอ่ยถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง จากนี้ไปคงมีอีกหลายอย่างที่เขาต้องเรียนรู้จากภรรยา

"ออกจ้ะ ผ้าไม่ได้หนาอะไร ตรงนี้ก็มีช่องว่างให้ฉันส่องดูลูกได้ตลอด"

คนเป็นภรรยาไม่ได้คิดอะไรจึงขยับเข้าใกล้รถเข็นของสามี พร้อมกับเปิดผ้าตรงช่วงใต้คางให้สามีดูว่าสามารถมองเห็นได้จริง ๆ แต่คนดูกลับหน้าแดงซ่านลามขึ้นไปถึงหูด้วยความเขินอาย ตั้งแต่คืนที่ได้เสียเป็นผัวเมียกัน หลังจากนั้นอี้เฉินก็ไม่เคยได้เข้าใกล้ภรรยาอีกเลย แต่วันนี้เนินอกอวบขาวเนียนนั่น กลับมาล่อตาล่อใจถึงตรงหน้าเสียแล้ว

"อืม คะ..ครับ"

"แม่มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ ทำไมทำหน้าเหมือนมีเรื่องให้คิดมากแบบนั้นล่ะ"

หนิงเหมยเอ่ยถามมารดาที่นั่งทำหน้ากระอักกระอ่วนใจอยู่ฝั่งตรงข้าม แม่ลู่เห็นแบบนั้นจึงตัดสินใจพูดกับลูกตรง ๆ

"ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากเลี้ยงหลานนะลูก อาเหมยอย่าเข้าใจแม่ผิดนะ แต่ปีนี้แม่กับน้องได้ลงชื่อทำงานในแปลงนาไปแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยว แม่ไม่อยากเสียแต้มงานทิ้ง ยังไงให้แม่ไปทำงานต่ออีกหน่อยได้ไหมลูก ไว้ปีหน้าแม่สัญญาว่าจะออกมาเลี้ยงเสี่ยวอันช่วยลูกแน่นอน"

"คิดว่าเรื่องอะไร เอาแบบนั้นก็ได้จ้ะ"

"อาเหมยไม่โกรธแม่ใช่ไหมลูก?"

สีหน้าของแม่ลู่เป็นกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด หนิงเหมยเห็นแบบนั้นก็ต้องรีบปลอบแม่ของเธอโดยด่วน ทั้งที่ในหัวของเธอกำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญอยู่

"ไม่โกรธเลยสักนิดจ้ะแม่สบายใจได้ ฉันกำลังคิดว่าจะไปส่งของยังไง แต่ละรอบที่พี่ซูอี้สั่งก็มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโล ลำพังจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์คงจะไม่สะดวก นอกจากจะเอารถยนต์ออกมาไว้ใช้ แต่ก็ดีเหมือนกันที่เอาออกมาตอนนี้ ยังไงตอนพี่อี้หานไปหาหมอก็ต้องได้ใช้อยู่ดี"

คำพูดแสนธรรมดาในเชิงปรึกษาปัญหากับคนในครอบครัวของหนิงเหมย ทว่าคนฝังทั้งสามคนกลับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน ว่าการเอาข้าวของออกมาจากมิติเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แล้ว แต่นี่หนิงเหมยกำลังพูดถึงรถมอเตอร์ไซค์กับรถยนต์เชียวนะ หากเป็นเช่นนั้นคนบ้านลู่จะไม่เป็นที่โจษขานไปทั่วทั้งหมู่บ้านลี่หยางหรอกหรือว่าเป็นบ้านที่ร่ำรวยที่สุด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel