
บทย่อ
เมื่อต่างคนต่างก็เป็นลูกหนี้ที่หนีไปไหนไม่ได้ สุดท้ายต้องแต่งงานเพื่อใช้หนี้ อดทนอยู่ด้วยกันเพื่อรอวันหย่า แต่พอถึงเวลาขึ้นมาดันไม่อยากหย่าเสียนี่ แล้วแบบนี้ ชะตาชีวิตลูกหนี้จะเป็นยังไงต่อไป.....
บทที่ 1
แบม
บราลี เมธากร
"ห้าล้าน!"
ฉันตะโกนเสียงดังยิ่งกว่าเสียงระเบิดนิวเคลียร์ที่อยู่ในหนังหรือซีรีย์เสียอีกเรียกได้ว่าอาจจะได้ยินกันทั้งซอยเลยก็ว่าได้ เพราะดูเหมือนจะได้ยินอะไรผิดไปนิดหนึ่ง เอาใหม่สิ ขอใหม่อีกรอบ อะไรล้านๆนะ
"แม่พูดใหม่สิ แม่ว่าติดเงินคุณนายทับทิม เท่าไหร่นะ" ฉันพยายามเอียงหูรอฟังยอดเงินที่แม่บอกมาก่อนหน้ามันจริงหรือเปล่า ไม่น่าใช่ล่ะมั้ง เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ บ้าน่า...
"ห้าล้าน" ฉันตาโตใส่เมื่อแม่พูดย้ำ "นี่แกจะให้แม่พูดอีกกี่ทีเนี่ย แม่บอกแล้วไงว่าติดเงินคุณนายเขาห้าล้านน่ะ" แม่ตะโกนกลับมาเสียงดังกว่าฉันซะอีก แล้วก็นั่งหน้าซีดตัวสั่นงันงกราวลูกนกตกน้ำ
เดี๋ยว! จะเปรียบเทียบทำไม มันใช่เวลาไหม
นั่นแหละค่ะ สิ่งที่ฉันกำลังเผชิญ
ฉันชื่อแบม บราลี สาวน้อยไร้เดียงสา (จริงๆก็ไม่แล้วแหละ) วัยยี่สิบสองที่กำลังตรากตรำหางานทำหลังเรียนจบมาหมาดๆด้วยวุฒิปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยรัฐบาลมีชื่อแห่งหนึ่งที่การันตีผลผลิตบุคลากรที่มีความสามารถมากมายระดับบิ๊กของประเทศ แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ใช่ฉันไง ในขณะที่เพื่อนๆได้งานกันหมดแล้วแต่ฉันยังหางานไม่ได้สักที แล้วเนี่ย แม่บังเกิดเกล้าก็ดันมาบอกว่าติดหนี้อีก
ใช่ค่ะ หนี้! หนี้ที่มาจากไหนไม่รู้ทั้งที่ปกติบ้านเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ถึงจะไม่ได้มีเงินเยอะหรือร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนถึงขนาดต้องกู้หนี้ยืมสินใคร แล้วทำไมแม่ถึงมีหนี้ตั้งห้าล้านล่ะ บ้าไปแล้ว
"จะทำยังไงกันดี คุณนายบอกว่าถ้าไม่คืนวันนี้คุณนายจะยึดบ้านเรา แบม แกต้องช่วยแม่นะ แม่ไม่อยากเสียบ้านนี้ไป นี่เป็นสมบัติของพ่อแก" แม่เกาะแขนฉัน เขย่าไปมาจนแขนแทบหลุด ตอนนี้นั่งร้องไห้น้ำตานองหน้าทำเอาฉันเองก็ใจแป้วเพราะสงสารแม่อยู่เหมือนกัน
"แบมจะไปคุยกับคุณนายเอง เห็นกันมาตั้งแต่เกิด แกคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง แล้วอย่าบอกเรื่องนี้ให้บัวรู้นะ เดี๋ยวน้องจะตกใจ ไปล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ทุกปัญหามีทางแก้ แม่ต้องใจเย็นๆ เข้าใจนะ เดี๋ยวแบมมา ทำไข่พะโล้ให้กินด้วย" บอกแม่เสร็จก็สะพายกระเป๋าผ้าใบโปรดขึ้นไหล่ ฉันว่ามันต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ แม่จะเป็นหนี้ได้ยังไง ไม่จริงหรอก ต้องไปถามความจริงจากคุณนายทับทิมหน่อยแล้ว
บ้านฉันกับบ้านของคุณนายทับทิมอยู่ห่างกันแค่กำแพงกั้น แต่มันก็ชัดเจนด้วยขนาดบ้านที่เรียกว่าคฤหาสถ์ของเลิศรัตนกุล กับบ้านไม้เก่าๆซอมซ่อของฉันที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แน่นอนคุณนายทับทิมรวยมาก เรียกว่ารวยล้นฟ้า แกจับธุรกิจหลายอย่าง เห็นว่ารุ่งสุดก็คงเป็นบริษัทค้าเพชรที่ปลุกปั้นกับสามีมาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีอะไรมากมายขนาดนี้ จนสร้างบริษัทใหญ่โตมีร้านเพชรมากมายหลายสาขาแล้วยังส่งออกนำเข้าเครื่องประดับ แต่คุณนายเป็นคนใจดีมากในสายตาฉันท่านใจดีและมีเมตตา ไม่น่าเชื่อว่าจะใจดำขนาดยึดบ้านเพราะเงินแค่ห้าล้านเพราะขนหน้าแข้งแกคงไม่หลุดออกมาหรอก แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเงินห้าล้านสำหรับฉันมันเยอะมากเลยนะ ต้องทำงานกี่ปี่กันถึงจะได้เงินเยอะขนาดนั้น เงินเก็บในบัญชีที่ทำงานพิเศษมา ยังไม่ถึงแสนเลยด้วยซ้ำ คิดแล้วก็ปวดใจจริงๆ
ติ๊ง ต่อง~~~~
ฉันยืนกดออดหน้าบ้าน รออยู่ประมานสองสามนาทีก็มีคนมาเปิด ยามสมชายที่รู้จักกันดียิ้มให้ทันทีที่เห็นหน้า
"มาหาคุณนายเหรอน้องแบม"
"จ้ะพี่ คุณนายอยู่ไหม แบมมีเรื่องจะคุยด้วย"
"เหรอ เดี๋ยวรอแป๊บนึงนะจ๊ะ" ยามสมชายเข้าไปในป้อมยกหูกดโทรเข้าไปถามไถ่ภายในบ้าน ซึ่งมันตั้งอยู่ห่างจากรั้วไปราว ๆ สามร้อยเมตร
"เข้าไปเลย คุณนายรออยู่" ยามสมชายออกมาบอกฉันแล้วเปิดประตูให้ ฉันยิ้มให้ก่อนจะรีบเดินเข้าไปด้านในด้วยความร้อนใจ
