บักสันดานหมา(2)
ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้เป็นคนใหม่ ไม่นอนร้องไห้เสียใจในห้องปล่อยเวลาให้เสียทิ้งไปเฉยๆ ข้าวหอมก็เริ่มด้วยการออกมาดูร้านค้าให้ย่า
เริ่มมีชีวิตชีวาและเป็นจุดสนใจของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ชาวบ้านมาซื้อของที่ร้าน มาเจอเธอก็จะพากันถามไถ่อย่างเช่นตอนนี้
“เอ้า อีข้าวหอมเบาะนี่ กลับมาแต่มื่อได๋” (อ้าว ข้าวหอมเหรอนี่ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่) คนรุ่นพ่อจรูญเอ่ยทักขณะที่หยิบของมาคิดเงิน
“กลับมาสักพักแล้วจ้าแม่” ยิ้มรับอย่างนอบน้อม รอบที่ร้อยได้แล้วมั้งที่เธอตอบแบบนี้ ใครเจอก็ถามแต่คำถามเดิม ๆ นี่เพิ่งผ่านมาสามวันเองนะ
“มาโดนบ่” (มานานไหม)
“มาอยู่เรื่อย ๆ จ้าแม่ กลับมาอยู่นำย่า มาอยู่เป็นหมู่ย่า” (มาอยู่เรื่อย ๆ จ้ะแม่ กลับมาอยู่กับย่า มาอยู่เป็นเพื่อนย่า)
“ดีแล่ว กลับมาอยู่บ้านเฮากะดีแล่ว” (ดีแล้วกลับมาอยู่บ้านเราก็ดีแล้ว)
“จ้า 59 บาทจ้าแม่” ลูกค้าจ่ายเงิน ข้าวหอมทอนเงินและยิ้มรับ
“แม่ไปก่อนเด้อ”
“จ้า”
ใครมาก็ถาม มากี่คนก็ถามแล้วจากนั้นก็จะไปนั่งพูดกัน ภาษาอีสานเรียกว่าอะไรนะ เว่าพื้นลูกไทบ้าน รู้ห้าพูดสิบ รู้สิบพูดร้อย ทำใจ ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป
อย่างน้อยเรื่องที่เขาพูดกันก็มีเรื่องจริงอยู่ไม่มากก็น้อย
“เอื้อยข้าว” (พี่ข้าว) บักหอยเดินมาจากทางหลังร้าน ใส่เสื้อช็อปช่างเตรียมไปเรียน มีความเท่อยู่พอสมควร
“หยัง เอาเงินติ” (อะไร เอาเงินเหรอ)
หยิบเงินจากกระเป๋าตังค์ของเธอออกมาให้น้องชาย แบงค์ร้อยใบเดียวพอ เดี๋ยวมันเอาไปซื้ออะไรไม่เข้าท่าอย่างเช่นบุหรี่ ไอ้เด็กนี่มันแอบสูบบุหรี่แน่ ๆ
คงคิดว่าปิดมิด ถึงได้ขยันอมลูกอมตลอดเวลา ไม่เนียนเอาซะเลย
“แม่นครับเอื้อยสุดที่ฮัก” (ใช่ครับ พี่สาวสุดที่รัก)
“แม่คือว่าให้มึงแล่ว” (แม่บอกว่าให้มึงแล้ว)
หอยจะเรียกย่าบุญจันทร์ว่าแม่เฮาเหมือนที่ข้าวหอมเรียก เด็กทั้งสองไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ข้าวหอมก็รักหอยเหมือนน้องชายแท้ๆ
“แม่เฮาให้กะส่วนของแม่เฮา อันนี้เอื้อยให้แหม” บักหอยยิ้ม
“ใช้ให้มันมีประโยชน์เงินน่ะ แนวได่บ่ดีกะอย่าสิแล่นหาหลาย” (งั้นน่ะใช้ให้มีประโยชน์หน่อย อะไรไม่ดีก็อย่าไปหาทำนัก)
“ค้าบ”
“เว่านี่ห่วง บ่ได้อยากจ่ม” (พูดนี่เพราะห่วง ไม่ได้อยากบ่น)
“ฮู้แล่ว เออ เอื้อย” (รู้แล้ว อ๋อ พี่)
“หยังอีก” (อะไรอีก)
“หมู่หอยมันฝากข่อยมาขอไลน์เจ้าแหม ให้มันได้บ่” (เพื่อนหอยมันฝากมาขอไลน์พี่ พี่ให้มันไหม)
“ขอไปหยัง สิจ้างให้กูไปเป็นผู้ปกครองมันติ” (ขอไปทำอะไร จะจ้างให้กูไปเป็นผู้ปกครองมันเหรอ)
“สิจีบ มันมักเจ้า” (จะจีบมันชอบพี่)
“เห็นว่ากูกลับมาอยู่บ้าน มึงกะสิส่งกูไปกินข้าวในคุกแล้วติบักหอย บักห่า” (เห็นว่ากูกลับมาอยู่บ้าน มึงก็จะส่งกูไปกินข้าวในคุกแล้วเหรอไอ้หอย)
“กินข้าวในคุกหยัง” (กินข้าวในคุกอะไร)
“ซุมสูบรรลุนิติภาวะแล้วติมาจีบกู ไปบอกมันตั้งใจเรียนพุ่น” (พวกมึงบรรลุนิติภาวะแล้วเหรอถึงมาจีบกู ไปบอกให้มันตั้งใจเรียนนู่นไป)
“เอ้า มันมักเจ้าอีหลีเด้” (เอ้า มันชอบพี่จริงๆ นะ)
“กะให้มันมักจั่งซั่นล่ะ แต่อย่ามายากนำกู กูบ่อยากถึกไทบ้านเว่าพื้นว่าตั๋วเด็กน้อย ไป ไปหาเรียนหนังสือไป” (ก็ให้มันชอบอยู่แบบนั้นแหละ แต่อย่ามายุ่งกับกู กูไม่อยากถูกชาวบ้านนินทาว่าหลอกเด็กน้อย ไปหาเรียนหนังสือไป)
“บ่ให้อีหลีติ” (ไม่ให้ จริงๆ เหรอ)
“บ่ให้ เว่าดู๋มื่ออื่นกูบ่ให้เงินแล้วเด้อ” (ไม่ให้ พูดมากเดี๋ยวพรุ่งนี้กูไม่ให้เงินนะ)
“อย่าว่า บ่ให้กะบ่ให้” (อย่าว่า ไม่ให้ก็ไม่ให้สิ)
“บ่ให้เงิน?” (ไม่ให้เงิน?)
“บ่ให้เบอร์ เงินน่ะเจ้าต้องให้ข่อยอยู่แล่ว” (ไม่ให้เบอร์ เงินน่ะพี่ต้องให้ผมอยู่แล้ว)
“ไปหาเรียนหนังสือไป แปดโมงแล่ว มึงเข้าเรียนจักโมงบักห่านี่” (ไปหาเรียนหนังสือไป แปดโมงแล้ว มึงเข้าเรียนกี่โมงไอ้ห่านี่)
“กำลังสิไปครับเอื้อย” (กำลังจะไปครับพี่)
“ฟ่าวไป รำคาญ” (รีบไปรำคาญ)
“วันอาทิตย์หมู่หอยมันสิพากันมานาอยู่เอื้อย มาแล่นนำรถเกี่ยวข้าว ถ่าเบิ่งหน้าก่อนค่อยปฏิเสธกะได้” (วันอาทิตย์เพื่อนหอยมันจะพากันมานาอยู่นะพี่ มาวิ่งตามรถเกี่ยวข้าว รอดูหน้ามันก่อนค่อยปฏิเสธตอนนั้นก็ได้)
“ฟ่าวไปไกล ๆ กูเลยบักหอย” (รีบไปไกลๆ กูเลยไอ้หอย)
“ขั่นมันฮู้ว่าเอื้อยมักจ่มมันทรงสิเซามักล่ะ” (ถ้ามันรู้ว่าพี่ชอบบ่น มันก็คงจะเลิกชอบแหละ)
“บักหอย!” (ไอ้หอย!)
“ไปแล่ว ไปแล่ว” บักหอยวิ่งกลับไปทางหลังร้าน
“บักห่าหนิ” ข้าวหอมบ่นตามหลัง
“ป้อยให้ไผเธอ” (ด่าใครเธอ) เสียงหวานดังมาจากด้านหน้าร้าน
เป็นเสียงของเพลินตาเพื่อนสนิทวัยเด็กของข้าวหอม เมื่อก่อนสองคนนี้ซี้กันมาก กระทั่งข้าวหอมสอบติดมหาวิทยาลัยขณะที่เพลินตาแต่งงานหลังจากเรียนจบม.6 ความสนิทจึงค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ เพราะความห่างเหิน
“เพลิน มาได้จั่งได๋” (เพลินมาได้ยังไง)
ตั้งแต่ย่าบอกให้ติดต่อหาเพื่อนข้าวหอมก็ยังไม่ได้ติดต่อไป เธอไม่รู้จะพูดอะไร ระหว่างเธอกับเพลินตาเป็นเพื่อนรักกันก็จริง
แต่ก็มีบางอย่างกั้นกลาง ทำให้ความสัมพันธ์ค่อยๆ ห่างกันไกลขึ้นเรื่อย ๆ
จนในที่สุดข้าวหอมก็ไม่ได้ติดต่อหาเพลินตาอีก
“ได่ยินข่าวว่าคนแถวนี่กลับมาบ้าน กะเลยมาเบิ่งว่าแม่นอีหลีบ่” (ได้ยินข่าวว่าคนแถวนี้กลับมาบ้าน ก็เลยมาดูว่าจริงมั้ย) เพลินตายิ้มหวาน สำหรับเธอแล้วข้าวหอมยังคงเป็นเพื่อนรัก และเธอก็รู้สึกผิดกับข้าวหอมมากเช่นกัน ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนทั้งที่คิดถึงและเป็นห่วงเพื่อนมากๆ
เพลินตากลัวว่าข้าวหอมจะไม่อยากพูดกับเธอ กลัวว่าเพื่อนจะไม่ต้องการเธอ
ในวันนี้ที่กล้ามาหาข้าวหอมเพราะคิดว่าเพื่อนน่าจะเจอปัญหาใหญ่ถึงได้กลับมาบ้าน เพลินตาจึงอยากมาปลอบใจ มาอยู่ข้างๆ
ก็ไม่รู้ว่าข้าวหอมจะยินดีไหม ไม่รู้ว่าระหว่างเธอกับข้าวหอมจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า
“แม่นแล่วเขากลับมาอยู่บ้าน” (ใช่แล้ว เค้ากลับมาอยู่บ้าน) ข้าวหอมส่งยิ้ม
“มากะบ่ทักหาเขาเลย คิดฮอดเด้นิ ฮู้บ่” (มาก็ไม่ทักหาเค้าเลย คิดถึงนะรู้ไหม)
เพลินตาใจสู้กล้าพูด เธออยากสื่อว่าเธอยังคงอยากเป็นเพื่อนกับข้าวหอมอยู่เสมอ
“ฮู้อยู่ คิดฮอดคือกัน แต่เขาย่านเธอบ่ว่างกะเลยบ่ได่ทักหา” (รู้สิ คิดถึงเหมือนกัน แต่เค้ากลัวเธอไม่ว่างก็เลยไม่ได้ทักหา)
“นี่เด้ เขามาหาฮอดเฮือนแล่ว” (นี่ไง เค้ามาหาถึงบ้านแล้ว)
“อืม มานั่ง ๆ” ดึงเก้าอี้อีกตัวมาให้เพื่อนนั่งข้างๆ กัน
“แน่นอน ต้องนั่งอยู่แล่ว คิดฮอดหล้ายหลาย” เพลินตานั่งลงข้างข้าวหอม เห็นว่าเพื่อนเปิดรับเธอก็รู้สึกดีมากๆ
น่าจะมีเรื่องคุยกับเพื่อนยาวๆ
*แจ้งคุณนักอ่าน นิยายบทสนทนาเป็นภาษาอีสาน มีคำแปลต่อท้ายนะคะ ฝากติดตามผลงานไรท์ด้วยน้า ขอบคุณค่ะ
