ตอนที่ 7 ร่วมหอลงโรง (1)
การกระทำของเว่ยฉือหลี่หมิงทำให้ใต้เท้าเซียวหน้าตึงขึ้นมาในทันใด บุตรสาวของเขากลับมาที่จวนได้แค่ปีเดียวก็ถูกคนผู้นี้คว้าไปครอบครองแล้ว การกระทำอันบัดสีต่อหน้าผู้คนมากมายในห้องโถงแห่งนี้ หากเล่าลือออกไปข้างนอก อย่างไรเซียวม่านหลิวก็ไม่สามารถแต่งกับคนอื่นได้อีกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นทำเสียงฮึ่มๆ ในลำคอ กระทั่งบุตรสาวของเขาดันใบหน้าของชายไร้ยางอายผู้นั้นออกห่าง จึงทำใจพูดออกมาได้
“กลับไปเตรียมสามหนังสือให้พร้อม บุตรสาวขุนนางใหญ่แต่งออกไปให้ใต้เท้าหลี่ พิธีการทั้งหกห้ามขาดตกบกพร่อง มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าใจจืดใจดำแยกคู่รัก ฮึ!”
พูดจบเขาก็เดินสะบัดชายอาภรณ์จากไปโดยไม่สนใจจะทำความเคารพผู้ใดทั้งสิ้น บุตรสาวที่เขารักยิ่งกว่าชีวิตกำลังจะแต่งงานกับคนหน้าด้านเช่นนี้ หากไม่กลัวว่าเซียวม่านหลิวจะท้องไม่มีพ่อจนถูกผู้คนติฉินนินทา เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ เด็ดขาด
หึ…พ่อตาอย่างข้ามิใช่ตาแก่ไร้พิษสง คอยดูเถอะ!
“ท่านพ่อ!” เซียวม่านหนิงวิ่งตามบิดาไป นางหันมามองน้องสาวของตนแวบหนึ่งโดยที่ไม่ได้มองหน้าเว่ยฉืออวี่หยางแม้แต่น้อย
เว่ยฉืออวี่หยางไหนเลยจะมีกะจิตกะใจสนใจผู้อื่น ภาพบาดตาเกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้เขาได้แต่เก็บความรุ่มร้อนไว้ในใจจนอัดแน่น ดวงตาแดงก่ำจวนเจียนจะระเบิดโทสะอยู่รอมร่อ
เว่ยฉือหลี่หมิงกระตุกยิ้ม มองหน้าผีแม่ม่ายของเขาที่ใช้มือเช็ดถูริมฝีปากของตัวเองพลางบ่นงึมงำ ในใจพลันนึกถึงสิ่งที่ใต้เท้าเซียวกล่าว
สามหนังสือหกพิธีการ[พิธีการแต่งงานที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว สามหนังสือได้แก่ หนังสือหมั้นหมาย หนังสือแสดงสินสอด และหนังสือรับตัวเจ้าสาว หกพิธีการได้แก่ สู่ขอ ขอวันเดือนปีเกิด เสี่ยงทาย มอบสินสอด ขอฤกษ์ รับเจ้าสาว]…ผ่านมาจะร้อยปีแล้ว ยังคงรูปแบบเดิมอยู่หรือ
พิธีการครั้งนั้นเขาไม่มีทางลืมง่ายๆ อย่างแน่นอน
กาลเวลาเปลี่ยน…เจ้าสาวเปลี่ยน…
“ท่านอ๋องน้อย…ข้าจะส่งเทียบเชิญงานแต่งไปให้ท่านอย่างแน่นอน” เขาพูดยิ้มๆ
เว่ยฉืออวี่หยางแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ หันหลังเดินจากไปด้วยแรงโทสะ
“กลับ!”
ฟูเหรินรองรอจนสบโอกาสจึงก้าวขึ้นหน้า ไต่ถามเว่ยฉือหลี่หมิงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “คุณชายหลี่ บุตรสาวข้าอีกสองคนก็รูปร่างหน้าตางดงาม ท่านหมายจะสู่ขอพวกนางไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ เป็นบุรุษต้องมีสตรีอ่อนหวานเข้าเรือนให้มากหน่อย อนาคตจะได้มีลูกหลานไว้ใช้สอย อีกอย่าง ม่านหลิวของพวกเราก็ 'ปัญญาอ่อน' ท่านอาจจะเบื่อ…”
เว่ยฉือหลี่หมิงเลิกคิ้วอย่างสนใจ เขาหันไปสบตากับเซียวม่านหลิว ทว่านางกลับทำเป็นไม่สนใจ สุดท้ายจึงรั้งไหล่ของนางเข้ามาแนบชิด กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนระทวย
“ขอบคุณฟูเหรินเป็นอย่างยิ่งที่กลัวว่าหลิวหลิวของข้าจะเหงา แต่สาวใช้ในบ้านข้ามีมากพอแล้ว อีกอย่าง หากหลิวหลิวปัญญาอ่อนได้ก็ยิ่งดี ข้าต้องการสตรีที่ทำตัวเป็นแม่หมู กินนอนแล้วมีลูกให้ข้าก็พอ เรื่องในเรือนก็ให้พ่อบ้านจัดการไป ฟูเหรินไม่ต้องกังวล”
สิ้นเสียงของเขา ฟูเหรินรองก็หน้าม้าน นางปากคอสั่นเทา ใบหน้าบิดเบี้ยวจนแป้งที่ทาอยู่หลุดลอก พลันลากบุตรสาวที่ยืนกระมิดกระเมี้ยนออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว
เซียวม่านหลิวเห็นว่าคนในบ้านนางออกไปจนหมดแล้ว จึงหันมาเหยียบเท้าชายหนุ่มแรงๆ คราหนึ่ง แล้วบอกกับเขาว่า
“ข้าจะหาแม่หมูมาให้ท่านสมสู่อย่างแน่นอน”
หนึ่งวันหลังจากที่เขากลับมายังลั่วหยาง เว่ยฉือหลี่หมิงตรงดิ่งเข้าวังในกลางดึก อำนาจที่เขามีเพียงพอให้ผู้คนไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ในมือของเขาก็คือกล่องใส่ปิ่นหยกหงส์ขาวประกาย
องค์จักรพรรดิทรงตื่นบรรทมกลางดึก ครั้นเห็นชายแปลกหน้าก็ตื่นตะลึงจนตาค้าง
“จะ…เจ้าเป็นใคร”
ชายหนุ่มคนนั้นจุดตะเกียงในห้องบรรทม แสงสีทองอาบร่างของทั้งสอง องค์จักรพรรดิทรงทอดพระเนตรใบหน้าของชายคนนั้นให้ชัดเจน พลันตื่นตะลึงจนไม่อาจตรัสอะไรออกมาได้
“ฝ่าบาท…ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหน้าห้องร้องถาม
“ไม่มีอะไร เราแค่ตื่นมาเขียนอะไรสักหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของคนที่ถูกสั่งสอนให้จดจำมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์ไหนเลยจะลืมเลือน พลันทอดพระเนตรเห็นของในมือของชายหนุ่มคนนั้น ปิ่นหยกที่เป็นของสำคัญในราชวงศ์ซึ่งหายสาบสูญมานานนับร้อยปี
ประกายแสงสีทองในเนื้อหยกกำลังเต้นระริกราวกับมีชีวิต
ร่างสูงศักดิ์ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันทรงทรุดลงบนพื้น อากัปกิริยาคล้ายจะก้มลงถวายความเคารพ ทว่าชายหนุ่มรีบประคองพระวรกายพลันพูดขึ้น
“ท่านเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน อย่าทำตนให้เสื่อมเกียรติด้วยการกระทำเช่นนี้”
พระเนตรคมกริบขององค์จักรพรรดิทรงไหวระริก ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาจนกระทำตัวไม่ถูก “ระ…รัชทายาท ไม่สิ องค์ไท่หมิง ละ…หลานต้องทำความเคารพพระองค์ในฐานะทายาทสิพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยฉือหลี่หมิงส่ายหน้า รีบประคองพระวรกายขององค์จักรพรรดิให้นั่งลงบนแท่นบรรทม
“ด้วยเกียรติของโอรสสวรรค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องกระทำตนเช่นนี้”
“แต่เสด็จปู่และเสด็จพ่อของข้าได้บอกเอาไว้ว่าหากพบพระองค์ ต้องให้ความเคารพเสมือนเป็นอดีตจักรพรรดิ”
“แทนตัวเองว่า 'เรา' ดังเช่นตอนพูดคุยกับคนอื่นเถิด ข้าเป็นแค่คนที่ตายไปแล้ว กลับมาครั้งนี้มิได้หมายกลับมาครองบัลลังก์ สิ่งใดที่ตกเป็นของผู้อื่นไปแล้ว ข้าไม่คิดชิงมาเป็นของตัวเอง”
องค์จักรพรรดิถูกอดีตจักรพรรดิและเสด็จปู่พร่ำสอนมาตั้งแต่ยังเล็ก วีรกรรมกำราบโจรสลัดที่ครอบครองน่านน้ำทะเลตงไห่ขององค์ไท่หมิงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งแปดทิศ แม้ว่าองค์ไท่หมิงจะสิ้นพระชนม์ก่อนจะได้เถลิงราชสมบัติ ทว่าวีรกรรมที่ได้สร้างเอาไว้กลับเป็นที่เลื่อมใสของผู้คนและเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชน มีเพียงกษัตริย์ของต้าถังเท่านั้นที่รู้ว่าองค์รัชทายาทไท่หมิงเพียงรอวันกลับมา
ครั้นได้พบตัวจริง กลับไม่สามารถตรัสอะไรออกมาได้ จนเว่ยฉือหลี่หมิงต้องบอกว่า
“ฝ่าบาท ข้าในตอนนี้เป็นเพียงคนไร้ยศศักดิ์ อย่างมากก็มีฐานะแค่ทายาทสายตรงของอดีตรัชทายาท ยศศักดิ์ในอดีตเป็นเพียงภาพมายา อีกอย่างอาณาประชาราษฎร์ในรัชสมัยของพระองค์เองก็มีความสุขเป็นอย่างมาก ยุคทองแห่งราชวงศ์เช่นนี้กลับทำให้ข้าเลื่อมใสนัก”
องค์จักรพรรดิหลังทรงได้รับคำชื่นชมก็พลันตื้นตันพระทัย ทอดพระเนตรใบหน้าที่ละม้ายพระองค์อย่างยิ่งแล้วพลันคิดถึงเสด็จปู่ ทว่าก็ไม่อาจจาบจ้วงเว่ยฉือหลี่หมิงได้
...บุคคลที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของพระองค์
เว่ยฉือหลี่หมิงไม่คุ้นชินนักที่บุคคลที่มีใบหน้าแก่กว่าตนเองจะมาเรียกเขาด้วยความเคารพ จึงพูดกับองค์จักรพรรดิด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“เอ่อ…ฝ่าบาท ข้าเองอายุในตอนนี้ก็แค่ยี่สิบสาม ก็ถือว่าข้าเป็นลูกหลานของพระองค์คนหนึ่งเถิดนะ แม้ว่าจะหลับใหลมานานเป็นร้อยปี แต่ระหว่างร้อยปีกลับมิได้มีประสบการณ์โชกโชนเช่นพระองค์ เทียบตามคุณวุฒิแล้วข้าก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เท่านั้น”
พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิแข็งทื่อ ด้วยไม่รู้จะวางองค์เองอย่างไร บรรพบุรุษก็ส่วนบรรพบุรุษ แต่การกระทำด้วยความเคารพต่อหน้าผู้อื่นล้วนแล้วแต่จะนำข้อครหามาให้ เรื่องราวความลับของกษัตริย์มิได้มีผู้ใดล่วงรู้ พระองค์เองก็ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะให้เรื่องเหล่านี้ค่อยๆ สืบทอดหลังจากตั้งรัชทายาท บัดนี้ในเมื่อองค์ไท่หมิงปรากฏอยู่เบื้องหน้า ตามคำสั่งเสียของเสด็จพ่อและเสด็จปู่ เพียงข้อเดียวที่มีก็คือ
'เขาต้องการอะไรก็ยกให้ แม้แต่บัลลังก์ก็ให้ได้ ของที่ไม่ใช่ของเรามาตั้งแต่ต้น หากเจ้าของมิได้อยากจะให้ ความผาสุกในชีวิตและประเทศชาติจะถึงกาลอวสาน'
“เช่นนั้นท่านต้องการอะไร”
เว่ยฉือหลี่หมิงอมยิ้ม “เรื่องนี้ไม่ยาก” เขายื่นกล่องบรรจุปิ่นหยกหงส์ขาวประกายให้องค์จักรพรรดิทอดพระเนตร “สู่ขอสตรีนางหนึ่ง และมอบตำแหน่งขุนนางชั่วให้ข้า…หลี่หมิงด้วย”
“อะไรนะ!”
หลังจากวันนั้น เว่ยฉือหลี่หมิงก็พาผู้ใหญ่ไปสู่ขอเซียวม่านหลิว พิธีการสู่ขอครั้งนี้สะเทือนฟ้าสะเทือนดินไปทั่วทั้งเมืองลั่วหยาง เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายชายในครานี้ก็คือองค์จักรพรรดิที่เสด็จมาอย่างไม่เป็นทางการ ไหนเลยจะรอดพ้นหูพ้นตาของคนที่สอดรู้สอดเห็น ไม่นานข่าวลือก็แพร่สะพัด
กับพระนัดดาที่องค์จักรพรรดิทรงให้ความเอ็นดูยังไม่เสด็จมาด้วยองค์เอง ทว่ากับขุนนางคู่พระทัยคนใหม่จะสู่ขอหญิงสาว กลับเสด็จมาโดยง่ายดาย หลายคนจึงเริ่มเล่าลือถึงบารมีของเว่ยฉือหลี่หมิงว่ามีดีอะไรนักหนา
ใต้เท้าเซียวคราแรกคิดจะเล่นแง่เสียหน่อย ครั้นพบพระพักตร์องค์จักรพรรดิกลับปากคอสั่นเทา ตรัสอะไรมาก็รับคำโดยไม่มีบิดพลิ้วแม้แต่น้อย
เซียวม่านหลิวเองระหว่างนี้ก็ถูกขังอยู่แต่ในเรือน บิดาของนางไม่ยอมให้ออกจากประตูเรือนแม้แต่ก้าวเดียว มีเพียงพี่สาวและสาวใช้ที่คอยส่งข่าวเป็นระยะ นางเองก็คาดไม่ถึงมาก่อนว่าเรื่องราวจะใหญ่โตถึงเพียงนี้
องค์จักรพรรดิทรงตรัสว่าเว่ยฉือหลี่หมิงเป็นทายาทของอดีตรัชทายาทไท่หมิงที่สิ้นพระชนม์ไป ต่อมาเปลี่ยนสายสกุลเป็นสกุลหลี่ตามพระนามเดิมของอดีตรัชทายาท หลี่หมิงจึงเปรียบเสมือนพระญาติที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับราชวงศ์พอสมควร การรับรองศักดิ์ฐานะนี้ทำให้ชื่อของหลี่หมิงถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบเชื้อพระวงศ์
แม้จะเป็นเรื่องที่น่ากังขา ทว่ากษัตริย์ตรัสแล้วใครจะกล้าทักท้วง อีกอย่างหงส์ขาวประกายที่หลี่หมิงมีในครอบครองก็สามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นทายาทสายตรงจริงๆ
เว่ยฉือหลี่หมิงจึงได้ฤกษ์ใช้ชื่อใหม่ของตนเป็นหลี่หมิงเพื่อลงนามในหนังสือสมรสอย่างเป็นทางการ
แน่นอนว่าวันเดือนปีเกิดของเซียวม่านหลิวถูกโหรหลวงนำไปเสี่ยงทายในแท่นบูชาบรรพกษัตริย์ มีคนเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ หลังจากผ่านการเสี่ยงทายแล้วองค์จักรพรรดิเองจึงให้คนที่ดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์มาจัดการเรื่องสินสอดให้กับเซียวม่านหลิวในวังเทียนมิ่ง ข้าวของโบราณล้ำค่าหลักร้อยปีจึงถูกนำมาจัดเป็นรายการสินสอด ส่งผลให้บรรดาหญิงสาวมากมายต่างก็เกิดความริษยา อยากเห็นแล้วว่าหลี่หมิงผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไร
เล่ากันว่าผู้ที่ตำแหน่งสูงเทียบเท่ามหาเสนาบดี ย่อมอายุอานามมากโข เมื่อได้ฤกษ์ยามที่เหมาะสมในอีกหนึ่งเดือนต่อมา สตรีมากหน้าหลายตาก็ยิ่งเกิดอาการตาร้อนจนอยากจะร่ำไห้
อายุอานามมากโขอะไรกัน ใต้เท้าหลี่หมิงถึงกับยังหนุ่มแน่น ทั้งยังรูปงามนามเพราะ สง่าราศียังล้ำกว่าท่านอ๋องน้อยอยู่หลายส่วน หลายคนจึงเล่าลือกันว่าเป็นเพราะหลี่หมิงเพียบพร้อมทั้งรูปและทรัพย์ ศักดิ์ตามสายเลือดก็มิใช่คนไร้หัวนอนปลายเท้า เซียวม่านหลิวเจ้าสาวของงานจึงเลือกเขาแทนที่จะเป็นท่านอ๋องน้อยเว่ยฉืออวี่หยาง
แต่งกับอนาคตอ๋องคนต่อไปย่อมลำบากใจเรื่องการครองเรือน หากแต่งสามีผู้เก่งกล้าสามารถแต่เป็นเพียงขุนนาง อย่างน้อยเรื่องการแต่งงานก็ยังมีสิทธิ์มีเสียงบ้าง
ครั้นเกี้ยวขนาดสิบแปดคนหามจอดเทียบหน้าประตูจวนตระกูลเซียว ใต้เท้าเซียวก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว หลี่หมิงก้าวขึ้นหน้าพลางคารวะพ่อตาแม่ยายตามธรรมเนียม ด้านหลังมีคนของเขาจำนวนหนึ่งตามเข้ามาด้วย ใต้เท้าเซียวพาหลี่หมิงและบุตรสาวที่สวมชุดแต่งงานสีแดงเข้าไปในศาลบรรพชน หลังจากไหว้บรรพชนตามธรรมเนียมแล้วจึงได้ฤกษ์ส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวเพื่อไปทำพิธีที่วังเทียนมิ่ง
ใต้เท้าเซียวแม้คราแรกจะไม่พอใจนัก ทว่าเมื่อนึกได้ว่าบุตรสาวของตนเองกำลังจะแต่งงานโดยมีองค์จักรพรรดิทรงเป็นองค์ประธานก็ได้แต่ตื้นตันอยู่ในใจ หากแต่เป็นเพราะยังไว้ท่าอยู่บ้าง ใบหน้าจึงคล้ายไม่แสดงความกระตือรือร้นนัก
เกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนออกจากจวนตระกูลเซียวเพื่อมุ่งไปยังวังเทียนมิ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของลั่วหยางจวนตระกูลเซียวสาดน้ำ[ขณะส่งตัวเจ้าสาวออกเดินทางครอบครัวฝ่ายหญิงบางครอบครัวจะนำน้ำสะอาดสาดตามหลังเกี้ยว หมายถึง ลูกสาวแต่งงานไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวฝ่ายชายเหมือนน้ำที่สาดออกไป] หน้าบ้านเพื่อเป็นการส่งเจ้าสาวครั้งสุดท้าย
เสียงเครื่องดนตรีแห่ประโคมดังคลอเคล้าตลอดทางจนถึงวังเทียนมิ่ง งานแต่งคล้ายชื่นมื่น โดยเฉพาะองค์จักรพรรดิที่เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธี ครั้นเห็นคนที่เคยถูกความรักทำร้ายเช่นองค์ไท่หมิงได้ตบแต่งเป็นฝั่งเป็นฝา ก็ปลาบปลื้มพระทัยยิ่งกว่าโอรสของพระองค์อภิเษกสมรสเสียอีก
หลี่หมิงประคองร่างของเซียวม่านหลิวลงจากเกี้ยว เดินผ่านประตูวังที่ติดอักษรมงคลคู่และญาติที่โผล่มาโดยมิได้นัดหมาย ญาติผู้ใหญ่ของบ่าวสาวนั่งประจำที่เพื่อรอทำพิธี ใต้เท้าเซียวเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อได้นั่งใกล้องค์จักรพรรดิ
พิธีการคำนับฟ้าดินนับว่าผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น
