ตอนที่ 4 ดื่มสุราใต้แสงจันทร์ (2)
เซียวม่านหลิวถูกโบกแป้งจนใบหน้าแข็งกระด้าง นางไม่กล้าแม้แต่จะมองตัวเองผ่านคันฉ่องทองเหลืองที่นางกำนัลยื่นให้ นึกสาปแช่งในใจว่าใครออกความคิดให้ฝังเครื่องประทินโฉมลงในสุสานแห่งนี้ด้วย ผ่านมาร้อยกว่าปีทั้งแป้งทั้งชาดทาปากเหล่านี้ไม่เสียหมดแล้วหรือ ทว่าโอดครวญไปก็เท่านั้น เพราะยามนี้โดยรอบมีแต่คนที่นางไม่แน่ใจว่าเป็นคนจริงๆ หรือไม่
“แม่นาง เจ้าแต่งเช่นนี้ก็งดงามไม่น้อย” นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยยิ้มๆ ช่วยนางเกล้ามวยผมขึ้นสูงรูปทรงประหนึ่งป้านชาโบราณ
เซียวม่านหลิวยิ้มแห้ง ไม่เข้าใจรสนิยมของคนสมัยก่อนสักนิดว่าทรงผมประหลาดๆ กับหน้าขาวๆ เช่นนี้งดงามตรงไหนกันแน่
งามกับผีน่ะสิ
นางด่าทอบรรพบุรุษฮ่องเต้สิบแปดชั่วโคตร มาจนถึงตอนนี้ไม่คิดหวาดกลัวผีสางที่ไหนอีกแล้ว หวังเพียงว่าจะสามารถรีบออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุดเท่านั้น
“เสร็จหรือยัง”
“ไท่จื่อ เสร็จแล้วเพคะ” นางกำนัลตอบรับพลางเสียบปิ่นหยกอันสุดท้ายลงบนศีรษะของเซียวม่านหลิว
เว่ยฉือหลี่หมิงมองสำรวจใบหน้าและเครื่องแต่งกายของเซียวม่านหลิว ดวงตาคมฉายแววขบขันเล็กๆ ในนั้น ทว่าก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
เขารั้งกายนางให้ลุกขึ้น เซียวม่านหลิวเซเล็กน้อยเพราะเรี่ยวแรงถูกเขาสูบไปจนเหลือเพียงแรงพยุงร่างของตนเท่านั้น อาภรณ์สีแดงปักลวดลายหงส์ทองสยายปีกเมื่ออยู่บนร่างของนางกลับเหมาะเจาะพอดีอย่างยิ่ง นางอดประหลาดใจไม่ได้ว่าในสุสานยังมีของเช่นนี้ด้วย
“เป็นชุดที่ฟางอวี้เหยาเคยสวม”
จู่ๆ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ พลันหันมาสบตากับนางขณะที่เดินไปยังแท่นตรงกลางที่วางโลงศพ
“หากไม่อยากถูกอ่านความคิด ก็จงทำสมองให้ว่าง ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ข้าบอกให้ทำอะไรก็ทำ อยู่กับข้าไม่ต้องมีความคิดจึงจะดีที่สุด”
เซียวม่านหลิวครางฮึ่มในลำคอ ใบหน้าบูดบึ้ง ทว่ายิ่งขยับใบหน้าก็คล้ายกับว่าแป้งที่เกาะอยู่ก็แตกและหลุดล่อนออกจากกัน จนต้องค่อยๆ ใช้มือเกลี่ยแป้งบนใบหน้าให้ติดทนนานอีกนิดหน่อย มิเช่นนั้นนางเองนี่แหละจะกลายเป็นผีแม่ม่ายไปจริงๆ
เว่ยฉือหลี่หมิงพานางไปยังแท่นวางโลงศพ ก่อนจะมีชายคนหนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์ลวดลายละเอียดอ่อนก้าวขึ้นหน้า ประสานมือให้กับไท่จื่อของเขาแล้วพูดว่า “ทูลไท่จื่อ ใกล้ถึงเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยฉือหลี่หมิงพยักหน้ารับ เขามองไปยังประตูบานใหญ่ที่อยู่ไกลลิบ “มัดนางไว้แล้วใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี…” ชายหนุ่มทำสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไปจากเส้นทางเดินซึ่งมุงสู่ทางออก คนทั้งหมดจึงพากันขยับกายไปยังแต่ละด้านของผนังอย่างพร้อมเพรียง “พวกเจ้าจำที่อาจารย์กล่าวได้ใช่หรือไม่”
น้ำเสียงของเขาก้องกังวาน คนเหล่านั้นขานรับเสียงดัง ค้อมกายลงต่ำแล้วคงค้างท่าเดิมอยู่อย่างนั้น ลักษณะคล้ายยามแรกที่นางเข้ามาไม่มีผิดเพี้ยน
“พวกเขาทำอะไร”
เว่ยฉือหลี่หมิงหันมาประสานสายตากับนาง ใบหน้าเรียบนิ่งประดุจหยกแกะสลัก ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายอันตรายบางอย่างออกมาจนนางสังหรณ์ใจ
“อาจารย์ข้าบอกว่าครั้งแรกมันจะเจ็บ หากเลือกได้ ข้าคงไม่คิดนำตัวปัญหาเช่นเจ้าเข้ามา ทว่าในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่อาจารย์ทำนาย ก็ได้แต่โทษที่เจ้าโชคร้ายหลงเข้ามาเถิดนะ” เขากล่าวเสียงพร่าแล้วเชยคางนางขึ้น ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
เซียวม่านหลิวอยากจะวิ่งหนีเสียอย่างนั้น ทว่าร่างกายคล้ายไม่ทำตามคำสั่งอีกแล้ว นางตัวแข็งทื่อ มองเขาสวมแหวนวงหนึ่งที่นิ้วชี้ แหวนหยกสีเขียวเข้มเย็นเฉียบสัมผัสกับปลายนิ้วของนางจนสะท้านน้อยๆ ครั้นสวมจนสุดปลายนิ้วมือกลับรู้สึกว่ามันหดเข้ามาพอดีนิ้วของนางอย่างอัศจรรย์
ไม่นะ…ข้าหนีงานหมั้นมาเพื่อถูกผูกมัดอย่างนั้นหรือ
“มันคือเคราะห์กรรมของเจ้า”
เว่ยฉือหลี่หมิงสบตากับเซียวม่านหลิวเนิ่นนาน ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนเข้าหา ดวงตาสีแดงที่เปี่ยมอำนาจลึกลับตรึงนางจนไม่อาจละสายตา ลมหายใจอุ่นร้อนของเขารินรดใบหน้า เซียวม่านหลิวเลือกหลับตาลง เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พานางหนีออกจากความประหม่าในใจ
สัมผัสแผ่วพลิ้วแตะไล้ริมฝีปากของนางแผ่วเบา ไล่ไปยังข้างแก้ม กลางหน้าผาก กลิ่นกายหอมประหลาดของเขาอบอวลจนนางไม่เป็นตัวของตัวเอง มือไม้เลื่อนทาบอกเขา ขยุ้มเบาๆ เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกบิดมวนในช่องท้อง นางหายใจสะดุด
เว่ยฉือหลี่หมิงเคลื่อนริมฝีปากไปยังใบหูเล็กๆ ที่ปราศจากแป้งทาหน้า ขมเม้มเบาๆ จนรับรู้ถึงการตอบสนองตามสัญชาตญาณของนาง
เขาเลื่อนริมฝีปากไปเรื่อยๆ ผ่านกกหู สูดดมกลิ่นกายชื้นเหงื่อ ลากไล้บนแอ่งชีพจร แล้ววนไปยังลำคอของนาง
“อึก…” เซียวม่านหลิวตื่นจากภวังค์ ลำคอเจ็บแปลบ ปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกพิษร้าย ทว่าร่างกายกลับถูกแช่แข็งเอาไว้ นางไม่อาจหลีกหนี รู้เพียงว่าต้องรอจนกระทั่งความเจ็บปวดตรงลำคอหายไปเอง ปลายจมูกรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือด
ผีดิบ? ไม่นะ! ข้ายังไม่อยากตาย
นางโอดครวญในใจ เพราะทำได้เพียงเท่านี้
อึดใจหนึ่งเขาจึงถอนริมฝีปากออกจากลำคอของนาง เซียวม่านหลิวตัวสั่นเทา มองเห็นริมฝีปากเขาที่ถูกแต้มด้วยโลหิตของนาง ใจเต้นรัวกระหน่ำด้วยความหวาดกลัวที่เริ่มเกาะกุมจิตใจ
เว่ยฉือหลี่หมิงเช็ดริมฝีปากของตนเอง สายตาอ่อนลงเมื่อมองเห็นใบหน้าแข็งกระด้างของเซียวม่านหลิวจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้
“วางใจเถอะ แค่เห็นใบหน้าของเจ้าข้าก็หมดอารมณ์จะทำอย่างอื่นแล้ว”
พูดจบเขาก็กัดนิ้วของตัวเองเบาๆ โลหิตสีแดงที่ส่องประกายเรื่อเรืองค่อยๆ ไหลออกมาจากปลายนิ้ว ยังไม่ทันที่เซียวม่านหลิวจะทันตั้งสติ เขาก็ป้ายโลหิตของตนใส่ปากนางอย่างรวดเร็ว
สมองของนางแข็งค้าง เพียงแค่ปลายลิ้นสัมผัสถึงของเหลวอุ่นๆ ในปาก กลิ่นหอมประหลาดนั้นก็กลบกลิ่นคาวเลือดของนางจนสิ้น นางเผลอกลืนมันลงไปโดยไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าตนเองกำลังดื่มเลือดผีดิบ
ตาแก่บัดซบ กล้าเอาเลือดมาใส่ปากข้า บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของท่านไม่สั่งสอนท่านเลยหรือ
นางอยากร้องไห้ อยากตวาดใส่หน้าเขา แต่กลับไม่สามารถควบคุมตนเองได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงด่าเขาในใจอย่างเจ็บแสบเช่นนี้
ทว่า…เว่ยฉือหลี่หมิงกลับมิได้รู้สึกรู้สาอะไร เขาดีดหน้าผากนางทีหนึ่ง กระซิบด้วยเสียงยียวนว่า “ต่อจากนี้ข้าก็อ่านใจเจ้าไม่ได้แล้ว”
ในความหวาดหวั่นยังมีความยินดีสายหนึ่ง
อ่านใจไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ
“ตอนนี้ถือว่าเราดื่มสุรามงคลแล้ว ต่อไปแม้ว่าเราจะไม่ได้รักกัน แต่ข้าจะต้องหาเกี้ยวสิบแปดคนหามไปสู่ขอเจ้าตามประเพณี อย่างน้อย บิดาของเจ้าก็จะได้ไม่เป็นห่วง และชายหนุ่มคนที่เจ้าตั้งใจหลบหนีก็จะหมดสิทธิ์ในตัวเจ้าทันที”
ร่างกายของเซียวม่านหลิวกลับมาขยับได้อีกครั้ง ครั้งนี่เรี่ยวแรงทั้งหมดกลับคืนมาด้วย นางก้าวออกห่างจากเขาก้าวหนึ่ง ทำสีหน้าไม่ถูกว่าควรแสดงอาการอย่างไรดี
ดีใจ กระโดดโอบคอเขาแล้วตะโกนว่า ข้ายินดีติดตามท่านไปทุกที่
หรือจะบีบน้ำตาด้วยความรันทดสุดแสนที่ถูกเขาบีบบังคับให้…ดื่มสุรามงคล
หรือจะออกอาละวาดแล้วด่าทอสาปแช่งเขาอย่างร้ายกาจ…เช่นนั้นนางคงต้องตายคาเท้าของบริวารเขาอย่างแน่นอน
ให้ข้าออกไปได้ก่อนเถอะ
นางหมายมาดในใจ
ทำได้เพียงถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ครืน!
เพดานสุสานถล่มลงมาอย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย กองดินและเศษหินจำนวนมากร่วงกราวลงมาตรงทางเดินอย่างพอดิบพอดี เซียวม่านหลิวเบิกตากว้าง คนจำนวนหลายสิบกำลังตะเกียกตะกายออกจากกองดินพลันร้องระงม
“บัดซบ! สุสานแห่งนี้มันอะไรกัน ตั้งใจให้พวกข้าทำลายจนราบเป็นหน้ากลองเลยรึ!”
ผู้ตะโกนน้ำเสียงคุ้นหูนางเป็นอย่างยิ่ง ไข่มุกราตรีถูกกองซากปรักหักพังทับไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงท้องฟ้าที่เปิดโล่ง แสงจันทร์ยามขึ้นสิบห้าค่ำทอแสงสีเงินยวงส่องลงมา เซียวม่านหลิวเพ่งตามองคนผู้นั้น
หัวหน้าโจรขุดสุสาน!
เหล่าโจรขุดสุสานโวยวาย ตะเกียกตะกายสุดชีวิต พลางคว้าสิ่งของใกล้มือติดตัว บางคนที่เห็นว่าคบเพลิงยังไม่ดับพลันคว้ามันขึ้นมาแกว่งไกวสำรวจภายในสุสาน
ทันใดนั้นคบเพลิงก็หลุดร่วงลงพื้น
“เป็นอะไรต้าจง”
ใครคนหนึ่งตะโกนถาม
ชายที่ชื่อต้าจงสะอึกเสียงดัง ชี้มายังจุดที่เซียวม่านหลิวยืนอยู่ พลันแหกปากเสียงดังลั่น
“ผีแม่ม่ายเฝ้าสุสานกับสามีของนาง!”
“เหวอ!”
กลุ่มโจรตกอยู่ในความโกลาหล หลายคนไม่เชื่อจึงพยายามขว้างคบเพลิงใส่เซียวม่านหลิว ทว่าคบเพลิงหยุดลงต่อหน้าของนางก็ร่วงลงกับพื้น มีเพียงแสงสว่างที่ส่องกระทบชุดเจ้าสาวสีแดง ไล่ไปยังใบหน้าขาววอกและริมฝีปากสีแดงคล้ายกับโลหิตของนาง
ชายคนหนึ่งกรีดร้องโหยหวน ถีบสหายที่ขวางทางแล้ววิ่งหนีไป สหายที่ถูกถีบสบถหัวเสีย ครั้นหันไปมองพรรคพวกกลับพบว่าเหลือเพียงตนเองที่ยังคงยืนอยู่
เขาคือนักพรตจี้
ทันใดนั้นเซียวม่านหลิวก็นึกอยากเอาคืน นางย่างสามขุมเข้าไปหาเขา พลันเปล่งเสียงหัวเราะเล็กแหลม “ฮิๆๆๆ มา…อยู่….กับ…ข้า….เถิด….นะ…”
นักพรตจี้ถอยหลังกรูดจนสะดุดหงายหลัง ยิ่งนางเคลื่อนเข้าไปใกล้เขาก็ยิ่งตระหนก ลนลานจนผมเผ้ายุ่งเหยิง ก่อนจะตะโกนเรียกหาบิดาหามารดาแล้ววิ่งหนีไปไกล
แปะ…แปะ…แปะ
“ไม่เลว…ซ้อมเป็นผีแม่ม่ายได้ไม่เลว”
เว่ยฉือหลี่หมิงกล่าวอย่างขบขัน เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้นาง พลันหัวเราะชั่วร้าย “แต่ทางที่ดีอย่ารู้สึกไปกับมันให้มากนัก และโดยเฉพาะ…อย่ารักข้าเด็ดขาด”
เซียวม่านหลิวที่กำลังอารมณ์ดีหลังจากได้ปลดปล่อยพลันย่นจมูก กล่าวด้วยความหมั่นไส้
“หลงตัวเอง”
ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าใกล้จนนางตระหนกวูบ เขากระซิบเสียงพร่า “ครั้งต่อไปคืองานแต่งจริงๆ ของเราสองคน ไม่เกินเจ็ดวันข้าจะต้องให้เกี้ยวสิบแปดคนหามไปรับเจ้าพร้อมกับสินสอด ไม่ให้น้อยหน้ากำไลหยกหรูอี้ที่คนผู้นั้นนำมาหมั้นหมายเจ้าอย่างแน่นอน เตรียมใจไว้เถอะ”
เซียวม่านหลิวแค่นเสียงในลำคอ นางก้าวเท้าถอยหลัง กระตุกรอยยิ้มย่ามใจ นึกกระหยิ่มในใจอย่างถือดี
ลาก่อน...ตาแก่
ทันใดนั้นก็เหินกายจากไปราวกับเทพเซียนหลงเหลือไว้เพียงกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์
“ไท่จื่อ นางหนีไปแล้วขอรับ”
ดวงตาของเว่ยฉือหลี่หมิงกลับมาแข็งกระด้าง “ปล่อยไปก่อน อวี้เหยาเล่า”
“ร้องไห้จนสลบไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยฉือหลี่หมิงยิ้มเหี้ยม “กำจัดนางให้พ้นจากสายตาข้า”
ชายคนนั้นตื่นตระหนก พลันเกิดเสียงอ้อนวอนดังระงม
“ไท่จื่อ พระชายาเป็นเพียงสตรีบอบบางนะเพคะ!”
“ไท่จื่อ…ทรงละเว้นชีวิตนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มหลับตานิ่ง มือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อสีเข้มกำแน่น
“ข้ากับนาง ใครเป็นเจ้านายของพวกเจ้า” เขาถามเสียงเรียบ
เหล่าบริวารต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
เว่ยฉือหลี่หมิงจึงกล่าวย้ำเตือน “สำหรับข้า คนทรยศ…ไม่มีที่ยืน จำเอาไว้!”
ทันใดนั้นใบหน้าของเขาพลันแข็งทื่อ...
นางชื่ออะไร
