บทที่ 5 วางเบ็ด
บทที่ 5 วางเบ็ด
ในขณะที่จูจวิ้นหาวยืนนิ่งดุจรูปปั้น หลี่หลานฮวาเองก็ทำท่าเขินอายอย่างเปิดเผย ใบหน้างดงามเริ่มปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมา นางปรายตาขึ้นสบตาจูจวิ้นหาวเพียงชั่วแวบหนึ่ง แววตาที่สบกันนั้นช่างเปี่ยมไปด้วยความหมาย ทั้งความบริสุทธิ์ที่แสร้งทำ ความอ่อนหวานที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม และประกายบางอย่างที่จูจวิ้นหาวไม่อาจเข้าใจ แต่กลับดึงดูดใจเขาอย่างน่าประหลาด
เพียงพริบตาเดียว หลี่หลานฮวาก็รีบหลบตาต่ำลงทันที ขนตาแพรยาวทอดเงาบนพวงแก้มแดงระเรื่อ นางก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทางเขินอาย ก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าการสบตาคมกริบคู่นั้นจะดูดกลืนวิญญาณของตนออกจากร่างไป
เสี่ยวเม่ยโค้งคำนับจูจวิ้นหาวอีกครั้ง ก่อนจะรีบก้าวตามนายหญิงของนางไปอย่างเงียบเชียบ
จูจวิ้นหาวยังคงยืนนิ่งมองร่างบอบบางที่เดินจากไปจนลับสายตา หัวใจของเขาที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผา บัดนี้กลับรู้สึกหวิวโหวงอย่างประหลาด ความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน กำลังก่อตัวขึ้นช้าๆ ในส่วนลึกของจิตใจ ภาพของหลี่หลานฮวาที่ดูราวกับดอกไม้แรกแย้มในยามเช้า และภาพของสตรีเปลือยเปล่าในยามค่ำคืนวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาอย่างไม่ขาดสาย กลิ่นหอมจางๆ ของนางยังคงติดตรึงอยู่ในปลายจมูกราวกับทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างไม่รู้ลืม
“ท่านแม่ทัพ”
เสียงทุ้มต่ำของทหารคนสนิทที่เดินตามมาแต่แรก เอ่ยทักขึ้น ทำให้จูจวิ้นหาวสะดุ้งเล็กน้อย เขาตระหนักได้ว่าตนเองยืนเหม่อมองไปในทิศทางที่หลี่หลานฮวาเดินจากไปนานเกินควร ใบหน้าของเขาปรากฏแววหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะคำทักทายของทหาร แต่เป็นเพราะความรู้สึกสับสนในใจของตนเอง
“ไม่มีอะไร” จูจวิ้นหาวเอ่ยเสียงห้าว พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ที่ปั่นป่วนไว้ภายใน ความสั่นไหวที่เกิดขึ้นภายในใจทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านยิ่งนัก
จูจวิ้นหาวรีบหันหลังกลับและก้าวเดินตรงกลับไปยังกระโจมของตนเองในทันที ราวกับต้องการหลบหนีจากบางอย่างที่เริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวใจที่เคยสงบเยือกเย็นของเขา
หลี่หลานฮวาที่เดินลับสายตาไปแล้ว นางปรายตากลับมามองเงาของจูจวิ้นหาวที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นเขารีบหันหลังกลับไป ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มร้ายกาจที่ไม่มีใครเห็น นางรู้ดีว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความหลงใหลได้ถูกหว่านลงไปแล้ว และมันจะค่อยๆ เติบโตขึ้นช้าๆ เพื่อทำลายจิตใจของบุรุษผู้เย่อหยิ่งผู้นั้น
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น จูจวิ้นหาวก็มีคำสั่งให้เคลื่อนทัพต่อไป การเดินทางของกองทัพแคว้นหนานยังคงเคลื่อนพลไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ฝุ่นควันจากการเดินทางคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วท้องทุ่งกว้าง
แต่ในท่ามกลางความทุลักทุเลนั้น หลี่หลานฮวากลับได้รับการดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษจนเป็นที่ผิดสังเกตของทหารหลายนาย จูจวิ้นหาวมีคำสั่งให้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้รวมถึงอาหารการกินให้กับหลี่หลานฮวาอย่างพิถีพิถันมากกว่าแต่ก่อน
ผ้าใบกระโจมของนางถูกเปลี่ยนเป็นผ้าเนื้อดี เบาะนั่งในรถม้าของนางถูกบุด้วยกำมะหยี่นุ่ม อาหารที่จัดส่งให้นางล้วนเป็นของดีเลิศซึ่งหาได้ยากในระหว่างการเดินทางไกล
เสียงบ่นกระซิบกระซาบของเหล่าทหารที่ว่า “แม่ทัพใหญ่เอาอกเอาใจเชลยศึกหญิงผู้นี้มากเกินเหตุไปแล้ว” เริ่มดังขึ้นเป็นระลอกๆ
ทหารคนสนิทของจูจวิ้นหาวมองชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักกับท่าทีที่ดูผิดแผกไปอย่างสิ้นเชิงของเขา
จูจวิ้นหาวกระแอมออกมาอย่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ “เจ้าเลิกมองข้าได้แล้ว องค์หญิงแคว้นจิ้นเป็นสตรีที่ฝ่าบาทหมายปอง ข้าเพียงต้องดูแลนางตามคำสั่งของฝ่าบาทเท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าวอ้างออกไป พร้อมกับเบือนหน้าหนี สายตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจตนเองเช่นกัน
ทหารคนสนิทเพียงพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นของเจ้านายตนเอง แต่เพราะความภักดีและความเชื่อมั่นที่มี ทำให้เขาละทิ้งความสงสัยทั้งหมดที่มีออกไป
“พวกเจ้าเลิกพูดมากได้แล้ว หากข้าพบว่าใครยังพูดจาเหลวไหลใส่ร้ายท่านแม่ทัพ ข้าจะลงโทษตามกฎทหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น” ทหารคนสนิทของจูจวิ้นหาวประกาศกร้าวออกมา เมื่อเสียงร่ำลือนินทาเริ่มมากขึ้นทุกที
เมื่อคำประกาศกร้าวนั้นดังขึ้น เหล่าทหารทั้งหลายก็ได้แต่ก้มหน้าหลุบต่ำอย่างกลัวความผิด พวกเขาจึงต้องปิดปากเงียบและไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
เสี่ยวเม่ยที่คอยดูแลหลี่หลานฮวาตลอดการเดินทาง และยังคอยเป็นหูเป็นตาให้กับหญิงสาว เมื่อนางได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะที่เสี่ยวเม่ยช่วยจัดแต่งเส้นผมในยามเช้าให้กับหลี่หลานฮวา นางก็นึกครึ้มและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เสี่ยวเม่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวนายหญิงของตนออกมา “องค์หญิง ท่านดูสิเพคะ ข้าวของพวกนี้ล้วนแล้วแต่ดีเยี่ยมทั้งนั้น ท่านแม่ทัพจูจวิ้นหาวช่างใส่ใจองค์หญิงเหลือเกิน หม่อมฉันไม่เคยได้ยินว่าเขาปฏิบัติต่อสตรีคนไหนดีเท่านี้มาก่อนเลยนะเพคะ” เสี่ยวเม่ยยิ้มกว้างออกมาพร้อมแววตาซุกซน “ดูท่าท่านแม่ทัพจะหลงเสน่ห์องค์หญิงเข้าแล้วเป็นแน่”
หลี่หลานฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา แววตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นความร้ายกาจและเคียดแค้นที่ยากจะเข้าใจ รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปาก ดูราวกับเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย็นเยือกและเจ็บปวด
“หลงเสน่ห์อย่างนั้นหรือ” หลี่หลานฮวาเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยโทสะที่ซ่อนเร้น “มันยังไม่ถึงเวลาหรอกเสี่ยวเม่ย สิ่งที่ข้าต้องทำนั้นยิ่งใหญ่กว่าแค่การได้มาซึ่งความรักของบุรุษผู้หนึ่งนัก” นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความเจ็บปวดเล็กน้อยนั้นไม่อาจเทียบเท่าความเจ็บปวดในจิตใจ “สิ่งที่ข้าสูญเสียไป บ้านเมืองของข้า ศักดิ์ศรีของแคว้นจิ้น และชีวิตของผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน ข้าจะต้องทวงคืนทุกสิ่ง”
เสี่ยวเม่ยหุบยิ้มในทันที นางรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของหญิงสาว นางก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ทำได้เพียงปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศในกระโจม
