บทที่ 1 ชนวนสงคราม
บทที่ 1 ชนวนสงคราม
“สตรีผู้นี้คือผู้ใดกัน”
ภายในห้องอักษรของแคว้นหนานยามนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานหอมจางๆ แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างบานสูงทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ความเงียบนั้นกำลังถูกทำลายลงด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยอำนาจและอารมณ์เสน่หา
นั่นเป็นเสียงเพ้อของโจวอวิ๋นเทียน ฮ่องเต้หนุ่มรูปงาม ผู้เปี่ยมด้วยความหยิ่งทะนง มั่นใจและเอาแต่ใจในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มกำลังทอดสายตามองภาพวาดของสตรีผู้งดงามนางหนึ่ง ดวงตาคมกริบของพระองค์จับจ้องไปยังใบหน้างามหมดจดของหญิงสาวในภาพ ผมยาวสลวยดุจแพรไหมดำขลับ ดวงตากลมโตดุจดั่งดวงดาวที่สุกสกาวบนท้องฟ้า ใบหน้ารูปไข่ได้รูปรับกับริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนที่ดูพลิ้วไหวตามสายลม
เพียงแค่โจวอวิ๋นเทียนได้เห็นภาพวาดนี้ หัวใจของเขาก็พลันเต้นระรัวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“นางช่างงดงามยิ่งนัก งดงามราวกับเทพธิดาลงมาจุติ” โจวอวิ๋นเทียนพึมพำกับตัวเอง พระหัตถ์เรียวเอื้อมไปลูบไล้ภาพวาดอย่างแผ่วเบา ราวกับจะสัมผัสตัวตนของสตรีในภาพนั้น
“ทูลฝ่าบาท สตรีในภาพวาดนี้คือองค์หญิงหลี่หลานฮวาแห่งแคว้นจิ้นพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นที่เลื่องลือว่างดงามยิ่งนัก” ขันทีข้างกายอย่างหวายกงกง ผู้รับใช้ใกล้ชิดที่สุดของฮ่องเต้เข้ามารายงานอย่างรู้ใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความนอบน้อมและเอาใจอย่างเต็มที่
โจวอวิ๋นเทียนไม่รอให้หวายกงกงพูดจบ พระองค์ทรงจ้องมองภาพวาดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล และเพียงชั่วพริบตา ความรักแรกพบก็บังเกิดขึ้นในใจ รอยยิ้มกริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาพร้อมกับความคิดอันชั่วร้ายที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจ เขาต้องการสตรีผู้นี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
“หลี่หลานฮวางั้นหรือ...ชื่อของนางช่างเหมาะสมยิ่งนัก” โจวอวิ๋นเทียนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะทำให้นางมาเป็นของข้าให้ได้”
หวายกงกงมองสีหน้าของฮ่องเต้อย่างชั่งใจ เขารู้ดีว่าเมื่อใดที่โจวอวิ๋นเทียนหมายปองสิ่งใดแล้ว จะไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางเขาได้ แต่การที่จะได้มาซึ่งองค์หญิงของแคว้นอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคว้นจิ้นซึ่งเป็นแคว้นที่มีอำนาจใกล้เคียงกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
“ฝ่าบาท…องค์หญิงหลี่หลานฮวาเป็นบุตรสาวที่ฮ่องเต้หลี่หลงเหยียนรักยิ่ง เกรงว่าคงยากที่จะ…“ หวายกงกงพยายามกล่าวทัดทาน แต่กลับถูกโจวอวิ๋นเทียนโบกมือห้ามไว้ในทันที
“ไม่มีคำว่าไม่ได้สำหรับข้า” โจวอวิ๋นเทียนเอ่ยเสียงหนักแน่น แววตาคมกริบฉายความมุ่งมาดปรารถนาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง “หากไม่ได้โดยง่าย เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย เพราะไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องครอบครองสตรีผู้นี้ให้ได้”
โจวอวิ๋นเทียนลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ก้าวเดินไปยืนริมหน้าต่างบานสูง สายตาทอดมองยังผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า แคว้นหนานภายใต้การปกครองของเขามีความเข้มแข็งทั้งด้านการทหารและการเงิน และชายหนุ่มก็เชื่อมั่นในแสนยานุภาพของกองทัพตนเองอย่างเต็มที่
“เรียกแม่ทัพจูจวิ้นหาวเข้าพบเดี๋ยวนี้”
เสียงคำสั่งดังก้องภายในห้องอักษร หวายกงกงรีบรับคำสั่ง พร้อมเร่งรีบเดินทางไปยังจวนแม่ทัพในทันที หวายกงกงตระหนักได้ว่าความปรารถนาของโจวอวิ๋นเทียนครั้งนี้จะนำไปสู่สงครามครั้งใหญ่ของสองแคว้นอย่างแน่นอน
ลมหนาวแห่งฤดูสารทพัดโชยมาปะทะแคว้นจิ้นนำพาความเยือกเย็นมาสู่ผืนดิน แต่สิ่งที่หนาวเหน็บยิ่งกว่าคือกระแสข่าวที่พัดพามาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
นั่นคือข่าวการเคลื่อนทัพครั้งใหญ่ของแคว้นหนาน ภายใต้การนำทัพของ “จูจวิ้นหาว”
แม่ทัพใหญ่ผู้ได้รับฉายาว่า “พญามัจจุราช” ผู้คนในแคว้นจิ้นต่างพากันหวาดผวา เพราะชื่อเสียงของจูจวิ้นหาวนั้นเป็นที่เลื่องลือในความสุขุม โหดเหี้ยม และเด็ดขาด ไม่มีสมรภูมิใดที่เขาเหยียบย่างเข้าไปแล้วไม่ได้รับชัยชนะ ไม่มีศัตรูรายใดที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของเขาได้
จูจวิ้นหาวเปรียบเสมือนพายุทมิฬที่พัดกระหน่ำทุกสิ่งที่ขวางหน้า การโจมตีของทัพใหญ่แคว้นหนานเป็นไปอย่างรุนแรงและฉับพลันราวฟ้าผ่า ขุนศึกผู้กล้าหาญของแคว้นจิ้นพยายามต่อต้านอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจทานอำนาจของพญามัจจุราชได้
กองทัพของแคว้นจิ้นพ่ายแพ้ยับเยินในพริบตา ราชวังที่เคยโอ่อ่าสง่างาม บัดนี้กลายเป็นเพียงซากปรักหักพังที่ถูกเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้คนดังระงมไปทั่วทุกหนแห่ง
หลี่หลงเหยียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นจิ้น ผู้ซึ่งเคยเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของแคว้นตน บัดนี้ต้องเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้อันย่อยยับ ชายชรานั่งเหม่อลอยอยู่บนบัลลังก์ ทอดมองแคว้นจิ้นที่กำลังจะล่มสลายในไม่ช้าอย่างนึกสิ้นหวังและรันทดใจ
ในที่สุดเมื่อปราการสุดท้ายของแคว้นจิ้นพังทลายลง ทัพใหญ่ของจูจวิ้นหาวก็บุกเข้ามาถึงใจกลางวังหลวง ทหารแคว้นหนานเดินทัพเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและเสียงอาวุธที่ปะทะกัน
หลี่หลงเหยียนตระหนักว่าไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้ในครั้งนี้
จูจวิ้นหาวในชุดเกราะสีดำทะมึนก้าวเข้ามาในท้องพระโรงที่เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของแคว้นจิ้น ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ไร้อารมณ์ใดๆ ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ ราวกับประเมินความเสียหายและชัยชนะที่ได้รับ
“ฮ่องเต้หลี่หลงเหยียน...แคว้นจิ้นได้ล่มสลายแล้ว” จูจวิ้นหาวกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่แฝงด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ท่านยอมจำนนหรือไม่”
หลี่หลงเหยียนทรงเงยขึ้นมองจูจวิ้นหาว แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความผิดหวัง เขาถอนหายใจออกมาอย่างยาวนาน ราวกับกำลังปลดปล่อยความหนักอึ้งทั้งหมดออกมา
“ข้ายอมจำนน แต่ขอจงไว้ชีวิตราษฎรของข้าด้วย”
จูจวิ้นหาวได้ฟังเช่นนั้น ก็ยกยิ้มอย่างเลือดเย็น เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับอย่างง่ายดาย “หากท่านยอมจำนนโดยดี ชีวิตของคนในแคว้นท่านก็จะปลอดภัย”
