2
“เจ้าเป็นหญิงรับใช้ แต่มีความหยิ่งทะนงเกินไป”
“เพราะข้ารู้ว่าตนเองบริสุทธิ์” เสียงของนางไม่สั่นไหว
“แม้ข้าจะไร้เกียรติ แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำหัวใจของข้าง่าย ๆ แน่” คำพูดนั้น… ทำให้เขาเงียบงัน
กลางดึกคืนนั้น หิมะเริ่มโปรยปรายราวเกล็ดน้ำแข็งจากฟากฟ้า ซูเหยาเดินเพียงลำพังอยู่ในสวนด้านหลังจวน เพื่อระบายลมหายใจที่อัดอั้น ทว่าเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นทางด้านหลังทำให้นางหันขวับไปมอง
หลี่จิ่นหยาง… เขาไม่ได้สวมเกราะ เหลือเพียงชุดผ้าแพรสีเข้ม ท่ามกลางหิมะขาว ชายหนุ่มผู้นี้กลับยืนอยู่ในความเงียบงันด้วยแววตาอ่านไม่ออก
“เจ้ากลัวข้าหรือ” เขาเอ่ยถาม
“ไม่” นางตอบทันที แล้วกล่าวต่อ
“แต่ข้าสงสารท่านมากกว่า”
“เหตุใด”
“เพราะท่านไม่ไว้ใจใคร แม้แต่ตัวเอง”
2
เขาชะงัก เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่มีใครพูดเช่นนี้กับเขา เป็นครั้งแรกที่คำพูดของใครบางคน ทำให้หัวใจของเขาเหมือนมีปลายมีดแหลมคมแทรกผ่านเข้าไป
“เจ้ากำลังทำให้ข้า อยากรู้จักเจ้ามากกว่านี้” เขาเอ่ยเสียงเบา แล้วเดินผ่านนางไป ราวกับลมหิมะเย็นที่ทิ้งไอร้อนวูบหนึ่งไว้กลางอก
คืนนั้น... ดอกเหมยผลิบานกลางหิมะ
และหัวใจของแม่ทัพผู้แข็งกระด้าง ก็เหมือนจะเริ่มสั่นไหวครั้งแรก
กลางดึกคืนนั้น... แม้หิมะจะยังโปรยปรายในจวนแม่ทัพ ทว่าในหัวใจของ ไป๋ซูเหยา กลับร้อนรุ่มไม่ต่างจากไฟที่กำลังคุอยู่ในเตาเหล็ก นางยังนอนไม่หลับ นับแต่ถูกใส่ร้ายจนต้องกลายเป็นหญิงรับใช้ในจวนแม่ทัพ เหตุการณ์ทั้งหมดก็ยังเป็นปริศนา
ใครเป็นคนสั่งให้ใส่ร้ายนาง ใครมีอำนาจมากพอที่จะทำลายตระกูลไป๋จนราบคาบภายในคืนเดียว
“หากไม่ใช่ขุนนางในราชสำนัก ก็คงต้องเป็นหญิงในวัง” และเมื่อคิดถึงวังหลวง มีเพียงคนเดียวที่มีทั้งอำนาจและเหตุผลพอจะจ้องทำลายนางได้…
เหยียนเสวี่ยหมิน ลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ฝ่ายตะวันตก คู่หมั้นของหลี่จิ่นหยาง
หญิงสาวผู้เกลียดชังนางอย่างไร้เหตุผลนับแต่ได้ยินข่าวว่า แม่ทัพหนุ่มมองหญิงอื่นเพียงครั้งเดียว
รุ่งเช้าของวันใหม่ ซูเหยาอาศัยช่วงที่เหล่าสาวใช้กำลังยุ่งกับงานรับแขก แอบย่องเข้าไปยังห้องเก็บเอกสารของจวนแม่ทัพ
ที่นั่น... เต็มไปด้วยม้วนบันทึกจากชายแดน บันทึกคำสั่งราชสำนัก และจดหมายโต้ตอบระหว่างแม่ทัพกับขุนนางในวัง นางค่อย ๆ เปิดอ่าน เรียงรายหาคำใบ้
ก่อนจะสะดุดกับม้วนหนังสือฉบับหนึ่งที่ถูกซุกไว้ใต้ฐานตู้เหล็ก
บัญชีของกองทัพชายแดน มีรอยเซ็นของเหยียนต้าเหวิน พ่อของเสวี่ยหมิน แต่กลับมีชื่อของขุนนางฝ่ายซ้ายบิดาของนางอยู่ในฐานะผู้รับผิดชอบเรื่องเบี้ยเลี้ยง หัวใจของซูเหยาเย็นวาบ
“เสวี่ยหมินต้องรู้ว่าพ่อของข้ากำลังจะเปิดโปงการยักยอกเงินในกองทัพ นางจึงจัดฉากและใส่ร้ายข้าเพื่อตัดตอนให้เร็วที่สุด”
ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าใครบางคนก็ดังขึ้นหน้าห้อง
ซูเหยาตกใจ รีบเก็บเอกสารคืนเข้าที่ ทว่าฝ่ามือแข็งแกร่งกลับผลักบานประตูไม้ให้เปิดออกในทันใด
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เสียงเย็นเยียบของหลี่จิ่นหยางดังก้องเข้าไปในหัวใจของนาง นางเงยหน้ามองเขา แววตาไร้แววตื่นกลัว ราวกับเตรียมใจไว้แล้ว
“ข้ากำลังหาความจริง” เสียงนางสั่นนิดหนึ่ง แต่แน่วแน่
“ท่านเชื่อไหมว่ามีคนในวังร่วมมือกับขุนนางนอกวังในการยักยอกเงินกองทัพ”
จิ่นหยางขมวดคิ้วเข้าหากัน
"ในฐานะหญิงรับใช้ เจ้ารู้เรื่องมากเกินไป"
"เพราะข้าไม่ใช่หญิงรับใช้แต่แรก แต่เป็นคนที่ท่านบังคับให้เป็น" ซูเหยาหันมาสบตาเขาตรง ๆ
“หากท่านคิดจะประหารข้า ก็ทำเสียตอนนี้ แต่หากยังมีหัวใจของแม่ทัพ ท่านจะต้องฟังข้าให้จบ”
ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำ
“พูดมา ข้าให้เวลาเจ้า”
ซูเหยารีบบอกทุกอย่างที่นางค้นพบแก่เขา เรื่องรอยเซ็น เรื่องบัญชี เรื่องการโยงเส้นระหว่างบิดานางกับเหยียนต้าเหวิน จิ่นหยางเงียบไปหลังฟังจบ มือใหญ่กำเข้าหากันแน่น
“หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เจ้ากำลังเสี่ยงชีวิตเพราะเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าที่เจ้าคิด”
“ข้าไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว” เสียงของนางแผ่วเบา
“แต่ข้าไม่ยอมให้ใครทำลายชื่อเสียงของบิดาเด็ดขาด ข้าจะไม่ยอมให้ความจริงถูกฝังกลบ” นางพูดอย่างแน่วแน่
เย็นวันนั้น หลี่จิ่นหยางสั่งให้เฝ้าห้องเก็บเอกสารแน่นหนายิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษใด ๆ กับซูเหยาแม้แต่น้อย
แถมยัง... ส่งสาวใช้คนสนิทมามอบของให้นาง
ผ้าแพรสีแดงสำหรับคลุมไหล่ และดอกเหมยขาวหนึ่งกิ่ง
“นายท่าน่บอกว่าหญิงที่กล้าเสี่ยงเพื่อความจริง สมควรได้รับเกียรติมากกว่าการถูกสั่งสอน”
ซูเหยาแนบดอกเหมยกับอกแล้วเอ่ยเบา ๆ กับตัวเอง
“ท่านเริ่มฟังข้าแล้ว วันหนึ่ง ข้าจะทำให้ท่านยอมเชื่อ ว่าข้าไม่ใช่คนที่ควรถูกจองจำ”
ราตรีหนึ่ง… ในห้องหนังสือที่เงียบงันของแม่ทัพหลี่
กลิ่นของสมุนไพรหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้ง รวมกับไอร้อนจากกระถางเตาที่เพิ่งเปลี่ยนถ่านใหม่
