บทที่ 6
พระนาย ชายหนุ่มวัยสามสิบสอง ผู้มีรูปร่างสมส่วนเพราะการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ ผมสีน้ำตาลถูกปล่อยตามธรรมชาติตัดกับคิ้วดกหนา และดวงตากลมโตสีดำขลับยามจ้องมองดูน่าเกรงขามและน่ามองไปในตัว จมูงโด่งได้รูปรับกับ ริมฝีปากหนาหยักซึ่งใบหน้าตอนนี้มีหนวดเคราเส้นสั้นๆ ขึ้นบริเวณรอบคางและริมฝีปาก เพราะความที่ยังไม่มีเวลาพอที่จะได้กลับบ้านเพื่อไปจัดการเรื่องส่วนตัว เขาก็ต้องนั่งรถมาเคลียร์เอกสารด่วนที่บริษัทตั้งแต่ก้าวเท้ามาถึงเมืองไทยเมื่อวันก่อน แม้จะดูไม่สุภาพแต่มันกลับดึงดูดสายตาของเหล่าพนักงานสาวและลูกค้าผู้หญิงมากมายนัก พระนายกำลังก้าวออกจากลิฟต์ของบริษัท เพื่อตรงไปยังรถสปอร์ตสีดำที่จอดอยู่ด้านหน้า เขาต้องขับรถคันนี้ไปสนามบิน เพราะยังมีเรื่องวุ่นวายอีกหลายเรื่องที่รอให้เขาไปจัดการ
เมื่อเข้ามานั่งภายในรถ พระนายก็คว้าบุหรี่มวนเล็กออกมาสูบหนักๆ เขาไม่ใช่คนติดบุหรี่จนเป็นนิสัย แต่จะมีบางครั้งที่เขาเครียดกับงานแล้วหาทางออกไม่ได้ในเวลานั้น เขาก็จะใช้บุหรี่เข้าช่วย แม้ว่ามันจะไม่สมเหตุสมผลก็ตามที ในครั้งนี้เขากังวลเรื่องสินค้าที่จะส่งออกรอบถัดไป เพราะยางพาราที่เป็นสินค้าหลักของบริษัทเขาในตอนนี้กำลังเกิดปัญหาคนงานกำลังก่อหวอดสไตรค์จนเขาต้องลงไปจัดการด้วยตัวเองที่ปักษ์ใต้
คนงานพวกนี้ยิ่งนับวันจะยิ่งเอาใหญ่ ได้คืบจะเอาศอกครั้งที่แล้วก็รวมหัวกันสไตรค์มาแล้วรอบหนึ่ง เพราะต้องการส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์การตัดน้ำยางสดเพิ่ม ซึ่งเขาก็ยอมใช้ไม้อ่อนเพื่อเห็นแก่ทุกคนและรักษาความเสียหายให้น้อยที่สุด แต่นี่คนกลุ่มเดิมที่เป็นตัวการ ซึ่งมีแค่สามสี่คนเท่านั้นที่เป็นหัวโจกกลับมาใช้ข้อเรียกร้องเดิมๆ มีหรือที่เขาจะยอมเป็นครั้งที่สอง
เขานั้นรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องวุ่นๆ ครั้งนี้ เมื่อเดินทางลงไปถึงกระบี่เขาคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดูสักครั้ง เพราะคนงานที่อยู่ในไร่เขาล้วนได้รับเงินเดือนและส่วนแบ่งที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย แต่จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยากได้เพิ่มและเพิ่มจนไม่รู้จักพอ มันจึงกลายเป็นความโลภ ในเมื่ออยู่แล้วสร้างปัญหาเขาก็ต้องตัดคนที่เป็นต้นตอของปัญหาให้ออกไป ดีกว่าปล่อยเป็นหอกแหลมคอยทิ่มแทงเขาอยู่แบบนี้ พระนายอัดบุหรี่เข้าไปเต็มปอดก่อนจะเหยียบคันเร่งขับรถสปอร์ตตรงไปยังสนามบินทันที
ขวัญข้าวสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆ มาแตะที่แขนแธอ พอลืมตาขึ้นมองก็เห็นผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ข้างๆ ขวัญข้าวรีบโผเข้าหาก่อนจะกอดผู้เป็นพ่อแน่นด้วยความคิดถึงและห่วงใย นานแล้วที่เธอไม่ได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นแบบนี้
“กลับมาแล้วทำไมไม่โทรไปบอกพ่อ ฮึ!” อรุณลูบผมนุ่มสวยของลูกสาวคนเดียวไปมาเบาๆ พร้อมกระชับอ้อมกอดแน่น คนเป็นพ่ออย่างเขาก็ไม่ได้พบลูกสาวคนเดียวนานนับปีเช่นกัน
“เห็นว่าพ่อออกไปทำธุระข้างนอก ขวัญก็เลยไม่อยากกวน” ขวัญข้าวเอ่ยอู้อี้ในอ้อมกอดผู้เป็นพ่อ
“โถ่เอ๊ย ขวัญนะขวัญจะมาเกรงใจพ่ออะไรตอนนี้ลูก” อรุณลูบศีรษะได้รูปของลูกสาวเบาๆ
“พ่อสบายดีนะคะ น้ำหนักลดไปหรือเปล่าขวัญกอดไม่อุ่นเหมือนเมื่อก่อนเลย” ขวัญข้าวพูดจริงๆ เพราะพ่อเธอดูผอมไปถนัดตา แต่ความอุ่นที่เธอว่ากลับมีความหมายมากกว่าที่ได้ยิน
“พ่อสบายดี น้าเอมเขาดูแลพ่อดีมาก อะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพเขาก็ไม่ค่อยให้พ่อกินสักเท่าไหร่”
“อย่างนั้นเหรอคะ ดีจังอย่างน้อยขวัญไม่อยู่พ่อก็ยังมีน้าเอมคอยดูแล” ขวัญข้าวเอ่ยใบหน้าเศร้า ความน้อยใจมันเกิดขึ้นแทบจะทันที ทั้งๆ ที่พ่อเธอมีคนคอยดูแล แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนกับถูกแย่งความรักไปอย่างนี้นะ
“ฮื้อ… นี่อย่าบอกนะว่าเราจะกลับไปที่ฝรั่งเศสอีกน่ะขวัญ” พอได้ยินคำพูดของขวัญข้าว อรุณก็ขยับร่างกายบอบบางของลูกสาวออกห่างนิดหน่อย มองใบหน้าหวานที่เขาไม่ได้เห็นมาแรมปี ใบหน้าที่มองทีไรก็ช่างทำให้คิดถึงแม่ของขวัญข้าวยิ่งนัก
“ก็ขวัญยังเรียนไม่จบนี่คะพ่อ”
“ไม่ต้องรงไม่ต้องเรียนมันแล้ว ก็แค่ไอ้หลักสูตรทำอาหาร เราน่ะเปิดโรงเรียนและร้านขนมเล็กๆ กับหนูฟ้าก็พอ ผู้หญิงจะเรียนอะไรไปเยอะแยะเดี๋ยวก็แต่งงานแล้ว ขวัญต้องอยู่บ้านดูแลลูกถึงจะถูก”
“พ่อคะ แต่นี่มันสมัยไหนแล้ว ถ้าต้องเอาแต่อยู่บ้านเลี้ยงลูก ขวัญไม่เอาด้วยหรอกนะ” ขวัญข้าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะเธอจะไม่มีทางทำอย่างที่พ่อเธอพูดแน่ๆ ขืนมาอยู่บ้านเฉยๆ แบบเอมอรเธอคงเป็นบ้าตาย
“เอาล่ะๆ ตามใจเราแล้วกัน” ผู้เป็นพ่อรู้ว่าพูดเรื่องนี้ทีไรเป็นต้องยอมแพ้ขวัญข้าวไปซะทุกครั้ง จึงหันมาคุยเรื่องเรียนกับเรื่องของพัทธนันท์บ้าง เพราะตั้งแต่พัทธนันท์คลอดลูกแฝด เขากับเอมอรยังไม่มีเวลาได้เข้าไปเยี่ยมรับขวัญหลานเลย แต่พอได้ยินขวัญข้าวเล่าถึงเจ้าฝาแฝดภูผาและธาราทำเอาอรุณอยากเห็นหน้าซะเดี๋ยวนี้ เพราะแค่ได้ยินขวัญข้าวเล่าถึงก็อยากจะอุ้มเด็กแฝดสักครั้ง
เอมอรที่ยืนฟังสองพ่อลูกคุยกันที่หน้าบ้านลูบท้องของตัวเอง เพราะเธออยู่กินกับอรุณมาเกือบสามปี เธอกับอรุณก็ไม่ได้คุมกำเนิดด้วยกันทั้งคู่ แต่ทำไมเธอถึงยังไม่ตั้งท้องสักที ถ้าเธอมีลูกกับอรุณรับรองว่าเขาจะต้องหลงลูกของเธอจนหัวปักหัวปำจนลืมขวัญข้าวไปแน่ๆ คราวนี้ไอ้ลูกนอกไส้ของเธอมันก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่าไปในที่สุด เอมอรลูบหน้าท้องของตัวเองไปมา ก่อนจะก้าวเดินมายังจุดที่อรุณกับขวัญข้าวพูดคุยกันอยู่
“สองพ่อลูกคุยอะไรกันคะ น่าสนุกจัง ขอเอมอยู่ฟังด้วยคนสิ” เอมอรเดินเข้ามายืนด้านหลังนางอรุณก่อนจะใช้มือบางนวดลงไปบนบ่าทั้งสองข้างของอรุณเบาๆ
“อ้อ…กำลังคุยกันถึงหนูฟ้าใสเพื่อนของขวัญข้าวเขา เพราะหนูฟ้าเพิ่งคลอดลูกแฝดชายหญิง เห็นยัยข้าวบอกว่าน่ารักน่าชังทั้งคู่เลย” อรุณแตะมือภรรยาสาวสวยเบาๆ แต่ขวัญข้าวกลับนั่งนิ่ง
“อย่างนั้นเหรอคะ ถ้าเรามีลูกบ้างก็คงน่ารักเหมือนลูกหนูฟ้าแน่เลย ว่าไหมคะคุณอรุณ หนูขวัญอยากมีน้องสาวหรือน้องชายจ๊ะ เอ…หรือจะมีพร้อมกันทั้งสองคนดี” เอมอรเอ่ยถามขึ้นก่อนจะมองตรงมายังขวัญข้าว เมื่อเห็นสายตาแบบนี้ของ เอมอรขวัญข้าวถึงกับยิ้มมุมปาก
