
บทย่อ
อย่าไปพูดให้ใครรู้เชียว ว่าตาแก่คร่ำครึอย่างเขาหลงใหลเด็กสาววัยเจริญพันธุ์ อยากเป็นพ่อพันธุ์ให้เห็นเต็มแก่ รู้ถึงไหน อายไปถึงนั่น สาวๆ นับร้อยต้องใจสลายเพราะหลานสาวตัวดีคนนี้คนเดียว “ชอบหรือไงที่ได้วิ่งมากับไอ้ลูกครึ่งนั่น เห็นมันหล่อสินะ ถึงได้ไม่ระวังตัวแบบนี้ ระยะทางจากบ้านมาถึงนี่ตั้งไกล ไม่กลัวถูกลากลงข่มขืนข้างทางเลยรึไง” หญิงสาวถึงกับหน้าเหลอเมื่อถูกต่อว่าเป็นชุดๆ “อาเพลิงไม่พอใจน้องปรางเรื่องอะไรคะ น้องปรางก็ออกวิ่งตามปกติ แต่เพราะคิดถึงอาเพลิงมากไปหน่อยจึงวิ่งมาไกลถึงที่นี่ ส่วนคุณพอลเขาตามมาเองนะคะ น้องปรางจะไปห้ามเขาได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นแขกของคุณพ่อ” อาหนุ่มหันไปมองหน้าหลานสาวคนสวย เห็นดวงตาใสเป็นประกายไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เขาก็ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ จะต้องให้พูดยังไงว่าเป็นห่วง และไม่พอใจที่เห็นเธออี๋อ๋ออยู่กับชายอื่น ถ้าพูดออกไปแล้วจะถูกหาว่าเป็นตาแก่คร่ำครึหัวโบราณเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้าไม่รักจะไม่ใส่ใจเลยให้ตายสิ! “ทีหน้าทีหลังอย่าวิ่งมาไกลขนาดนี้อีก อยากมาหาก็ขับรถมาก็ได้ ไม่ต้องลงทุนวิ่งมาหา รู้มั้ยว่าเป็นผู้หญิงภัยมืดมีอยู่รอบตัว แล้วดูแต่งตัวเข้าสิจะออกวิ่งทำไมไม่ใส่กางเกงวอร์มขายาว หรือชอบโชว์ขาขาวๆ ให้ชาวบ้านมองตาเยิ้ม รู้รึเปล่าว่าคนงานในไร่มีแต่หื่นกามทั้งนั้น พวกนี้ทำแต่งานไม่ค่อยออกไปเจอผู้หญิงเท่าไหร่ สันดานดิบมันมีอยู่ในทุกคน ยิ่งเห็นสวยๆ ขาวๆ แบบนี้มันยิ่งชอบ” “แหม...อาเพลิงพูดน่ากลัวจัง น้องปรางไม่ชอบใส่กางเกงขายาวนี่คะมันร้อน นี่ก็ทนใส่เสื้อวอร์มเพราะกลัวดำหรอกนะคะ จริงๆ อยากถอดแล้วออกวิ่งเลยมากกว่า” คนพูดยกมือรูดซิปและถอดเสื้อวอร์มออกโดยที่อาหนุ่มยกมือห้ามไม่ทัน เขาโล่งอกที่เธอยังมีเสื้อกล้ามสวมข้างในอีกชั้น แต่คงไม่ดีแน่ถ้าเธอจะใส่ชุดนี้ออกวิ่งเพราะเสื้อกล้ามนั้นเอวลอยจนเห็นผิวขาวๆ ช่วงเอวชัดเจน “อย่าแต่งตัวแบบนี้ออกวิ่งเชียวนะ ถ้าอาเห็นจะเอาไม้เรียวหวดก้นให้นั่งไม่ลงเลย”
ย้อนสู่อดีตชาติ /1
ปีพุทธศักราช 2518
ปาราวตี วินโกมล สาวน้อยวัยใสอายุ 18 ปี ได้ทราบข่าวกึ่งดีกึ่งร้ายในชีวิตจากมารดา ข่าวที่ว่าก็คือมีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งโทรมาสู่ขอเธอกับมารดาทางโทรศัพท์ ครั้งแรกที่ได้ยินสาวน้อยยอมรับว่าตกใจ นาทีต่อมาเธอก็สงสัยว่ามีด้วยเหรอการสู่ขอทางโทรศัพท์แบบนี้ ดวงตากลมเหลือบมองไปยังโทรศัพท์บ้าน นี่ถ้าบ้านเธอไม่มีโทรศัพท์ พวกเขาจะโทรมาสู่ขอเธอยังไงนะ จะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ยที่พอติดตั้งโทรศัพท์ได้ไม่กี่วันก็มีคนใช้บริการมันแบบนี้
“แม่จ๋า แม่ได้ยินผิดหรือเปล่า ใครเขาจะตาบอดมาขอหนู”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก แม่ก็ถามย้ำเขานะว่าเขาพูดจริงเหรอ แถมยังบอกเขาด้วยว่าปลาน่ะยังเรียนไม่จบเลย อีกตั้งหลายปีกว่าจะจบ”
“แล้วเขาเป็นใครล่ะแม่”
ปาราวตีเริ่มอยากรู้ขึ้นมาว่าใครกันนะที่อยากได้เธอไปเป็นสะใภ้
“ตาเรืองฤทธิ์ลูกชายของน้าดิเรกไง น้าดิเรกน่ะปลาจำได้หรือเปล่า ที่เขาชอบแซวปลาว่าดำดีสีไม่ตกน่ะ”
“อ๋อ...ชิ เขาก็ดำไม่ต่างกับหนูหรอก ดำกว่าหนูด้วยซ้ำ อย่างหนูนะเขาเรียกว่าผิวสีน้ำผึ้ง”
“ว่าเข้าไปนั่น แล้วนี่เราจะว่ายังไง”
ปาราวตียกแขนขึ้นเท้าคางกับโต๊ะ เธอยังอยากเรียนไม่อยากมีครอบครัวเลย แต่ใจลึกๆ เห็นเพื่อนๆ มีคู่ควงไปรับไปส่งก็อยากมีบ้างนะ แต่คนตัวเล็กๆ สูงแค่ 150 ซม. หนัก 43 กก. ถ้าเป็นคนอื่นก็คงผอมบางแต่สำหรับคนที่มีความสูงเท่านี้ รูปร่างของเธอก็เลยอวบอิ่ม คิดๆ แล้วใครกันอยากจะควงแขนเธอไปไหนต่อไหนน่ะ
“จะให้ว่ายังไงล่ะแม่ หนูขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ แล้วหนูจะบอกแม่ทีหลังได้มั้ย”
“นี่...แม่ไม่เคยคิดจับลูกคลุมถุงชนนะ ถ้าปลาจะปฏิเสธ แม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
“จ้ะ ปลารักแม่ที่สุดในโลกเลย”
ร่างน้อยลุกขึ้นโอบเอวหนาของมารดาและแนบแก้มอิ่มเข้ากับต้นแขนอวบ คลอเคลียพวงแก้มนุ่มแต่หย่อนตามวัยไปมาไม่ห่าง
ปาราวตีรู้ดีว่ามารดาสุดที่รักไม่มีวันทำแบบนั้น เธอเองก็สองจิตสองใจการเรียนต่อจนจบปริญญาก็อยาก อยากมีแฟนแบบเพื่อนๆ ก็อยาก อยากมีอิสระเช่นเคยก็อยาก จะทำยังไงดีน๊อ...นึกออกแล้ว!
ร่างน้อยลุกขึ้นหาเบอร์โทรศัพท์ของน้าดิเรก แล้วหมุนโทรศัพท์ไปตามตัวเลขที่เห็นในสมุดโทรศัพท์ของแม่ เวลานี้มารดาเข้าครัวไปทำกับข้าวมื้อเย็นแล้ว ทางสะดวกที่เธอจะทำความรู้จักกับว่าที่สามีในอนาคต
“ฮัลโหล”
“สวัสดีค่ะ ขอพูดกับคุณเรืองฤทธิ์ค่ะ” ปาราวตีรีบตอบ
“กำลังพูดครับ” เสียงห้าวตอบกลับมา
“อ้อ...เอ่อ...ฉันปาราวตีค่ะ หรือจะเรียกว่าปลาเฉยๆ ก็ได้ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
“เรื่องอะไรครับ”
ฟังน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ฉันเป็นลูกสาวของปานใจ คุณรู้จักไหมคะ”
“อ๋อ...ป้าปานใจนั่นเอง น้องปลาเป็นลูกของป้าปานใจหรือครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ปาราวตียิ้มได้ ผู้ชายคนนี้เป็นคนน่าคบคนหนึ่งทีเดียว จากที่เขาตอบรับและน้ำเสียงนุ่มแต่ห้าวนั้น
“พี่...” ในเมื่อเขาเรียกน้องปลา เธอก็ควรเรียกเขาว่าพี่ แต่จะพี่อะไรหนอ
“พี่ฤทธิ์ครับ เรียกพี่ว่าพี่ฤทธิ์ก็ได้ น้องปลามีอะไรหรือครับ”
“แม่บอกว่าน้าดิเรกโทรมาสู่ขอหนูให้พี่ฤทธิ์ค่ะ หนูก็เลยอยากให้เราทำความรู้จักกันก่อน”
“อ้าวเหรอ พ่อยังไม่บอกพี่เลย แต่ว่าพี่ยินดีจะทำความรู้จักกับน้องปลานะครับ เมื่อไหร่ดี พรุ่งนี้ดีไหมพี่ว่างพอดี ไม่ต้องเข้ากรมด้วย”
“เอ๊ะ! พี่ฤทธิ์เป็นทหารเหรอคะ ทหารอะไรคะ”
“ทหารบกจ้ะ พี่เป็นจ่าจ้ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
เสียงห้าวของเรืองฤทธิ์ดังผ่านออกมาตามสาย สร้างความงุนงงให้กับคนฟังเล็กน้อยว่าทำไมต้องหัวเราะด้วย แต่ก็ดีที่เขามีอารมณ์ขันแบบนี้ จะได้คุยด้วยอย่างสบายใจ
“ฮิ ฮิ ทำไมต้องหัวเราะด้วยล่ะคะ พี่ฤทธิ์นี่ตลกจังเลย ชักอยากเห็นหน้าตาจริงๆ แล้วสิ งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่เดอะมอลล์นะคะ”
“โอเคจ้ะ พรุ่งนี้เราเจอกันนะจ๊ะน้องปลา”
“ค่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
ปาราวตีวางสายแล้วก็ยิ้มกริ่ม บางทีเธออาจมีแฟนกับเขาก็ตอนนี้ ร่างอวบอิ่มตรงขึ้นห้องนอนเพื่อเตรียมชุดสวยๆ สำหรับการออกเดทครั้งแรก
11.00 น. ของวันถัดมา
ร่างเล็กแต่อวบอิ่มในชุดกระโปรงสั้นสีดำกับเสื้อเชิ้ตผ้ายืดฮ่องกงพับแขนขึ้นเหนือศอก ที่หลังมีกระเป๋าเป้สะพายใบย่อม ปาราวตียืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังตามที่นัดกับเรืองฤทธิ์เอาไว้
“สวัสดีจ้ะ น้องปลารึเปล่าครับ”
ปาราวตีเงยหน้ามองร่างสูงตามมาตรฐานของชายไทย แต่เขาก็ยังสูงกว่าเธอมากจนต้องแหงนมองหน้ากัน แล้วต้องส่งยิ้มให้กับผู้ชายที่จัดว่าหน้าตาดีตรงหน้า
“สวัสดีค่ะ พี่ฤทธิ์หรือคะ”
เรืองฤทธิ์ ศรีสว่าง ยิ้มหวานให้สาวน้อย ตัวเธอเล็กมากจนเขาต้องก้มมอง
“ใช่จ้ะ พี่ไม่คิดว่าพ่อจะสู่ขอเด็กน้อยมาเป็นลูกสะใภ้ ทำไมตัวเล็กจัง ตอนเด็กๆ กินนมมั่งหรือเปล่าเนี่ย”
เพราะความที่เป็นคนอ่อนโยนและมองโลกในแง่ดี ชายชาติทหารอย่างเรืองฤทธิ์จึงเป็นคนที่สาวๆ อยากอยู่ใกล้ เขามักจะมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นคนที่มีผิวสีทองแดงแต่ชายหนุ่มก็เป็นคนมีเสน่ห์ไม่น้อย อย่างตอนนี้เขาก็มอบความเป็นกันเองให้ปาราวตีทันทีที่เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก
“ปากเหรอนั่น หน้าตาก็ดีหรอกนะ แต่ปากไม่น่าจะเป็นแบบนี้เลย”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ รู้จักกันไปนานๆ แล้วจะรู้ว่าพี่ปากหมาแค่ไหน”
“ฮิ ฮิ หนูล้อเล่นค่ะ พี่ฤทธิ์อย่าใส่ใจเลยนะคะ หนูก็เป็นคนแบบนี้ค่ะ ขอโทษด้วย”
ปาราวตีกล่าวเป็นการเป็นงาน เธอเพิ่งรู้จักเรืองฤทธิ์และยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่ที่เห็นเขาก็เป็นคนที่น่าคบหามากคนหนึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ดีแล้วที่เป็นแบบนี้ พี่ขี้เกียจปั้นหน้าใส่พวกที่สวมหน้ากากตลอดเวลา เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ดีแล้ว”
“ดีจังเลยค่ะ แล้วเราจะไปไหนกันต่อคะ”
“เราคงต้องไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันในขณะที่เราคุยกันแบบเปิดอกนะครับ”
“อ๋อ...ค่ะ คุยแบบเปิดอก ฮิ ฮิ”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ความสนิทสนมของทั้งคู่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันๆ แต่หาใช่การก่อกำเนิดความรักระหว่างหนุ่มสาวไม่ แต่เป็นการกำเนิดความรักระหว่างพี่ชายและน้องสาวต่างสายเลือด ปาราวตีและเรืองฤทธิ์ปฏิเสธต่อผู้ใหญ่ว่าจะไม่มีการแต่งงานกัน เพราะทั้งคู่ไม่มีทางยกระดับความสัมพันธ์กันมากเกินกว่านี้แน่นอน
เวลาที่ปาราวตีเหงาไม่มีเพื่อนฝูงให้คุยเล่น เพราะเพื่อนๆ แต่ละคนก็มีคนรู้ใจแล้วมีเพียงกิ่งกมลคนเดียวเท่านั้นที่ยังโสดสนิทไร้คนรู้ใจ แต่บางครั้งกิ่งกมลก็ทำตัวติดหนึบกับการทำงานพิเศษทิ้งให้ปาราวตีเพื่อนรักต้องโดดเดี่ยว เหมือนวันนี้ที่สาวน้อยไร้เพื่อนคู่ใจ เธอจึงไปหาเรืองฤทธิ์ที่บ้าน สาวน้อยรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันหยุดและเรืองฤทธิ์ก็อยู่บ้าน เขาเคยบอกเธอเอาไว้ว่าถ้าได้หยุดพักก็มักจะอยู่บ้าน หรือไม่ก็ไปอยู่ข้างกายสาวๆ
