2
ผิวกายสัมผัสผ้าไหมแดงที่ห่มกายอยู่หลวม ๆ ร่างกายเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อชุดแต่งงานถูกดึงออกอย่างรุนแรง
ใจเย็นไว้หลินซือเสวี่ย…นี่ไม่ใช่เวลาสูญเสียการควบคุม เธอปลอบใจตัวเอง
ซวบ! เสียงผ้าหลุดจากร่าง
ไม่นานร่างของเธอก็เปลือยเปล่าภายใต้แสงเทียนทำให้อ๋องหลี่ชะงักไปเสี้ยววินาที ใบหน้าของนางงดงามแม้ไม่มีเครื่องประทินโฉม ร่างบางไร้รอยมลทินยิ่งขับให้ดูน่ากลืนกิน
มือใหญ่ของเขาสัมผัสแผ่นหลังเนียน ก่อนจะโน้มตัวลงและจูบเบา ๆ ที่ลาดไหล่ เสียงหอบหายใจของหญิงสาวเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน แต่มือของเธอกำแน่นอยู่ข้างตัว
“กลัว” เสียงกระซิบที่ข้างหูแฝงความเย้ยหยัน
เธอตอบกลับเสียงเย็น
“ข้ากลัวเพียงสิ่งที่ไร้ค่า…แต่ท่านไม่ใช่” คำตอบนั้นทำให้อ๋องหลี่ชะงัก ดวงตาคู่นั้น ไม่ใช่หญิงสาวขี้ขลาดที่เขาเคยรับรู้มาก่อน
2
เขาไม่ชอบคำท้าทายเขาจึง ตอบกลับด้วยริมฝีปากร้อนรุ่ม จูบแรกกดแน่นลงมาบนเรียวปากนุ่ม หยาบกร้านในความหิวกระหาย ราวกับต้องการบดขยี้ความหยิ่งทระนงนั้นให้แหลกคามือ
หลินซือเสวี่ยพยายามกลั้นใจไม่ครางออกมา แม้จูบนั้นจะร้อนรุ่มจนปลายเท้าชา มือใหญ่ลากไล้จากต้นแขนสู่หน้าท้องแบนราบ ก่อนจะกวาดลงไปถึงสะโพกกลมกลึง
“เจ้าตัวเล็กนัก” เขาพึมพำ เสียงทุ้มแหบพร่า
“จะรับข้าได้หมดไหมนะ” ประโยคนั้นเหมือนคำสาป ทำให้ร่างบางเบื้องล่างยิ่งร้อนวาบ ราวกับไฟจากปลายลิ้นของเขาที่ไล้ลงมาตามต้นคอ ซอกไหปลาร้า จนถึงอกอิ่มซึ่งสั่นไหวไม่เป็นจังหวะ
ซือเสวี่ยกำลังจะหลุดจากการควบคุม
ครืด…
เสียงเตียงโบราณขยับเมื่อร่างใหญ่โน้มลงกดเธอไว้ใต้กาย กลิ่นเหงื่ออ่อน ๆ ผสมกลิ่นบุรุษเฉพาะตัวของเขาทำให้ร่างกายเธอเหมือนละลายอยู่ในไฟปรารถนา
“ข้าไม่รับรู้ว่าเจ้าเคยรักผู้ใด แต่คืนนี้ เจ้าจะรู้จักข้าจนลืมคนทั้งโลกไปเลย…” เขากระซิบ แล้วกระแทกตัวเข้าหาเธอในจังหวะเดียว รุนแรง และลึกจนเธอสะดุ้งเฮือก
“อื้อ…” เสียงครางหลุดจากปากเธอในที่สุด
อ๋องหลี่หัวเราะในลำคอ สะใจเมื่อได้ยินเสียงร้องจากหญิงที่ ‘แกล้ง’ เฉยชา
“รู้รึยังว่าเจ้าตกเป็นของใคร”
จากนั้นจังหวะกระแทกก็เริ่มเร็วขึ้น แรงขึ้น และดิบขึ้น ในขณะที่เสียงเตียงไม้และเสียงหอบหายใจกลืนกันไปกับเสียงเทียนที่ค่อย ๆ มอด
คืนนั้นไม่มีใครได้นอนพัก แม้แต่คนที่บอกว่าไม่ยอมก็ตาม
รุ่งเช้า... แสงแดดอ่อนสาดผ่านม่านไหมแดงบางเบาในห้องหอ กลิ่นกายบุรุษยังอวลอยู่บนหมอนและผืนผ้าห่ม ร่างบางที่นอนนิ่งเหมือนตุ๊กตาถูกกอดแนบแน่นโดยเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยังหลับตาอยู่ข้างเธอ
หลินซือเสวี่ยลืมตาช้า ๆ แขน ขา และทุกอณูในร่างเจ็บระบม ร่องรอยจากคืนเข้าหอยังคงคุกรุ่นไปถึงปลายเส้นประสาท ทั้งที่หัวใจยังแข็งกร้าว แต่ร่างกายกลับตอบสนองจนแทบละลายอยู่ในอ้อมแขนของเขา
‘เมื่อคืน…เขาไม่ใช่แค่ทำให้เจ็บ…แต่ยังทำให้ใจสั่น…’ เธอเขินอยู่ในใจเงียบ ๆ แต่ยังแสร้งนิ่ง
ทว่า…
“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ท้ายทอยพร้อมลมหายใจอุ่น ๆ ซือเสวี่ยสะดุ้งเฮือก หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อพบว่าเขาก็ตื่นแล้วเหมือนกัน
“ข้า…จะลุกไปล้างหน้า” เธอพยายามขยับ ทว่าเขากลับรั้งเอวคอดเอาไว้แน่นขึ้น ร่างเปลือยเปล่าของเขากระชับชิดแนบไปกับแผ่นหลังของเธอ
“ใครบอกว่าเจ้าทำหน้าที่ภรรยาเสร็จแล้ว” เสียงทุ้มนั้นเต็มไปด้วยความเย้ายวนเจือเจตนากระเซ้า
“เมื่อคืนยังไม่พออีกหรือไง” เธอถามกลับทั้งที่หน้าแดงจัด
“ข้าพอ…แต่เจ้ายังไม่สำนึก” มือหนาเริ่มไล้จากเอวคอดลงไปจับเรียวขาเล็กใต้ผ้าห่มเบา ๆ ก่อนจะพลิกตัวเธอขึ้นมาทาบไว้ ใบหน้าคมซุกลงบนซอกคอขาว
“เมื่อคืนข้ายังไม่ได้สอนบทลงโทษของคนที่แกล้งตายหนีงานแต่ง…” เขายิ้มบาง ๆ แต่แววตาร้อนแรงราวกับเปลวเพลิง
และการ ‘ลงโทษ’ รอบสองก็เริ่มขึ้นโดยไม่ให้เสียเวลา
ยามสาย ที่เรือนใหญ่ เสียงบ่าวไพร่ซุบซิบไปทั่วทั้งเรือน
“ฮูหยินน้อยยังไม่ยอมลุกจากเตียงเลย”
“ข้าว่านะ ท่านอ๋องคงจะ...เอ่อ...เร่าร้อนใช่ย่อย”
แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อหน้าท่านอ๋อง บุรุษผู้เย็นชาดั่งหิมะ ซึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ ขณะองครักษ์ส่วนตัวเดินมารายงานข่าวศึกที่ชายแดน
แต่สิ่งที่เขาคิดอยู่ กลับไม่ใช่เรื่องศึกสงคราม
“ทำไมสายตาเจ้านั่น ถึงเปลี่ยนไป เหมือนเป็นอีกคน” เขานึกถึงตอนที่นางตอบโต้ด้วยดวงตาสงบนิ่ง
ตอนที่นางไม่หวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย ตอนที่เรือนร่างอ่อนช้อยของนางสั่นสะท้านแต่กลับจ้องตาเขานิ่ง มันไม่ใช่ ผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักเลย
“น่าสนใจ” เขาพึมพำ แล้วลุกขึ้น
ด้านนอก... หลินซือเสวี่ยกำลังเดินอยู่ในลานเรือนอย่างเงียบ ๆ แม้ร่างจะระบมไปทั้งตัว เธอใช้ผ้าคลุมไหล่บังรอยแดงจ้ำที่โผล่พ้นชุดสีอ่อน
“ฉันต้องหาข้อมูล ต้องรู้ที่ว่านี่คือยุคไหน ตระกูลนี้คือใคร แล้วจะหาทางกลับได้ยังไง” เธอเดินเข้าห้องสมุดเล็ก ๆ ข้างเรือน เจอหนังสือเก่าภาษาจีนตัวเต็ม ไม่มีอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีเครื่องมือ ไม่มีสิ่งใดคุ้นเคย
