บทที่ 9 อย่ารักเขาอีกเลย 1
“แขวนโคมไฟกันทำไมหรือเจ้าคะ” ฟางหลินเอ่ยถาม เพื่อเดินผ่านมาเห็นว่าคนงานกำลังประดับโคมแดงไปทั่วทั้งจวน นางเดินเข้ามากลางศาลาริมน้ำที่ท่านแม่และพี่ชายสองนั่งคุยกันอยู่ ฟางหลินพยายามทำความคุ้นชินและคิดเสียว่าทุกคนก็คือครอบครัวของหล่อนในอดีตชาตินี่เอง
"สามวันข้างหน้าก็จะถึงเทศกาลหยวนเซียวแล้ว" ต้าเจิงพูดขึ้น
"จริงด้วย แต่ข้าคงไม่ได้ไป" หงเชาทำหน้าหงอย เขาต้องเข้าวังไปทำหน้าที่อ๋องหงเชาแห่งจวนเหอ
"อย่างนั้นรึ สาว ๆ คงชะเง้อหาเจ้ากันจ้าละหวั่นทั้งคืน" ต้าเจิงเอ่ยหยอกล้อน้องชาย พวกเขาทั้งยิ้มและส่ายหัวน้อยๆ ดูท่าทางอารมณ์ดีกันทั้งคู่ ท่านแม่เองก็หน้ายิ้มอย่างเคย คงมีแต่นางที่ยิ้มไม่ออกนักเพราะไม่ค่อยเข้าใจ
"ข้าอาจจะออกมาทันคืนสุดท้าย" หงเชากล่าว ปีหนึ่งจะมีโอกาสได้ชมรูปโฉมของหญิงงามที่ไม่คอยจะพากันออกจากจวนเสียหนหนึ่ง จะพลาดไปไม่ได้
"งานอะไรหรือเจ้าคะ" ฟางหลินเอ่ยถามขึ้นกลางวงสนทนา
"เทศกาลลอยโคมน่ะลูก" ฮูหยินจางตอบเสียงเรียบ มือทั้งสองง่วนอยู่กับการปักผ้า
หยวนเซียว...ลอยโคมเหรอ เทศกาลเดียวกับหยวนเซียวที่กินบัวลอยหรือเปล่านะ
“๑๕ ค่ำ เดือนอ้ายหรือเจ้าคะ หยวนเซียวที่ต้องกินบัวลอยด้วยหรือเปล่า” ฟางหลินเอ่ยถามเพื่อเช็คความถูกต้อง
“ดีจริงที่เจ้ายังพอจำได้” ต้าเจิงเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
เหอะๆ จำได้อะไรกันล่ะ แค่เคยอ่านเจอมาเท่านั้นแหละ
"ข้าอยากไปเจ้าค่ะท่านแม่ ฟังแล้วน่าสนุกดี" ฟางหลินยิ้มอ้อน นึกสนุกเข้าอีกหน
"เดี๋ยวก็หลงทางอีก" ฮูหยินจางเอ่ยขัด โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง นางแทงเข็มเข้าออกบนผ้ากลางสะดึงอย่างตั้งใจ
"โถ่ท่านแม่ข้าน่ะ..." ฟางหลินกำลังจะแย้ง หากแต่เสียงทุ้มคุ้นหูของชายคนหนึ่งก็ขัดขึ้นเสียก่อน
"หยางจื้อ คารวะท่านป้า" นัยน์ตาเหยี่ยวเปรยมองฟางหลินแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองท่านป้าจางของตัวเองแทน
"หยางจื้อน่ะเอง มาๆ ดื่มชาด้วยกัน" ฮูหยินจางวางมือออกจากงานปักผ้าที่ทำอยู่ แล้วจึงรีบเรียกหลานชายด้วยความเมตตา นางเห็นเขามาตั้งแต่ยังเล็กหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังเก่งบู๊บุ๊นจนหาตัวจับได้ยาก ถ้าจะมาเป็นลูกเขยนางก็ไม่ขัด ครั้นพอมองดูลูกสาวของตัวเองในเวลานี้แล้วก็ได้แต่ส่ายหัว กริยาอย่างฟางหลินตอนนี้ คงไม่มีหนุ่มชายตาแล
"เรากำลังคุยเรื่องงานหยวนเซียวกันอยู่น่ะ ฟางหลินอยากไปน่าดู" ต้าเจิงเอ่ยเท้าความในสหายผู้เป็นดั่งน้องชายอีกคนหนึ่งฟัง
"ก็ข้าไม่เคยไปนี่นา พี่ใหญ่ไปกับข้าเถอะนะ" ฟางหลินไม่มองหยางจื้อแม้สักนิด
"ข้าไม่แน่ใจว่าว่างหรือเปล่า" ต้าเจิงเอ่ยปัด เขาไม่ได้ติดงาน เพื่อแต่นัดกับคนอื่นเอาไว้ก่อนแล้วต่างหาก ถ้าเอาน้องสาวตัวจุ้นไปด้วย เขาคงไม่มีเวลาไปทำอะไรที่อยากทำกันพอดี
"อย่างนั้นข้าไปคนเดียวก็ได้" ฟางหลินยกริมฝีปากขึ้น แววตาทอประกายซุกซน
"ฟางหลิน เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอย่างคราวนั้นอีก" ฮูหยินจางเอ่ยทักท้วงด้วยความกังวล
"เรื่องอะไรหรือท่านแม่ ข้าไม่เห็นทราบ" หงเชาเอ่ยถามคิ้วขมวดเป็นปม เขาเจ้าออกวังบ่อยจนไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านสักเท่าไหร่
"ก็วันนั้นฟางหลินตัวดีออกไปเที่ยวเล่น พลัดหลงกับหลิวอิงหายไปหลายชั่วยาม "
"ท่านแม่..." ฟางหลินได้แต่อับอาย ใบหน้ายับยู่แสดงออกว่าไม่ชอบใจนัก นางจะไม่รู้สึกอะไรหรอก ถ้าหากว่าต้นเหตุของเรื่องวันนั้นไม่ได้มานั่งจิบชาทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ตรงข้ามนางอย่างนี้
"พอถามก็ได้ความว่าหลงทาง กลับไม่ถูก" พี่ชายทั้งสองหัวเราะน้อยๆ ผิดกับเจ้าคนผีทะเลที่มองมาที่หล่อนนิ่งๆ หล่อนมองค้อนกลับไป ไม่อยากยอมรับว่านางอับอายแค่ไหน
"ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าจะไปงานหยวนเซียวไปกับหลิวอิงก็ได้ รับรองว่าข้าจะไม่หลงแน่ ๆ เจ้าค่ะ"
"ไม่ได้ เจ้าร่างกายไม่แข็งแรงเกิดไปเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำอย่างไร"
"ท่านแม่ข้าน่ะแข็งแรงขึ้นมากๆแล้ว...ขอข้าไปเถอะนะเจ้าคะ" ฟางหลินขยับเข้าใกล้ฮูหยินจาง เกาะแขนของนางเอาไว้แล้วเอาใบหน้าซบลงไปอย่างออดอ้อน
"ไม่ต้องมาออดอ้อน ถ้าพี่ชายเราไม่ว่างก็ไปกับแม่"
ไปกับท่านแม่แล้วจะเล่นสนุกได้อย่างไรเล่า
"ท่านพี่~ พวกท่านว่างให้ข้าคนละวันไม่ได้หรือ" นางทำท่าทางออดอ้อนพี่ชายทั้งสองที่ทำหน้ารู้ทัน
"พี่ว่างแค่สองคืน" ต้าเจิงยอมอย่างเสียไม่ได้ เขาก็พอเข้าใจอยู่หรอก สังเกตได้ว่าน้องสาวของเขากลับมาคราวนี้ ดูร่าเริงสดใสกว่าคนก่อน ทั้งยังดูแปลกตากว่ากริยาท่าทางของสาวฉางอันคนอื่น ๆ อีกหลายขุม
"ดีเลย พี่ใหญ่ว่างสองคืน พี่รองว่างอีกคืน ข้าจะได้เที่ยวทุกคืนเลย" ฟางหลินคิดคำนวณในใจอย่างเจ้าเล่ห์
"ขยันเที่ยวจริง ๆ เมื่อก่อนไม่เห็นจะอยากไปไหน" ท่านแม่เอ่ยปากเหน็บ
"โธ่ ท่านแม่เจ้าขา ข้ากลับมาคราวนี้จะเที่ยวให้ทั่วฉางอันเลยเจ้าค่ะ" ฟางหลินกล่าวไปยิ้มไปราวกับเด็กน้อยได้ของเล่น
"กุลสตรีไม่พึงพูดทุกอย่างที่คิด" ฮูหยินจางเอ็ดเบาๆ ถ้าหากเป็นคนในบ้านนางก็จะปล่อยไป แต่นี่มีหยางจื้อนั่งอยู่ด้วย ฟางหลินจึงควรระวังกริยาวาจาของตัวเองให้ดี
"สตรีอย่างข้าคงขายไม่ออก" ฟางหลินกล่าวขำ ๆ. พี่ขายทั้งสองหัวเราะชอบใจ
"ฟางหลิน เป็นสตรีวันหนึ่งก็ต้องออกเรือน" ฮูหยินจางเอ่ยเตือนอีกหน
"ข้าไม่แต่งออกไปไหนทั้งนั้นล่ะเจ้าค่ะ จะอยู่กับท่านแม่ไปจนแก่ตายไปเลย" ฟางหลินหุบยิ้ม แฟนคนเก่ายังแสบอยู่ในทรวงอยู่เลย
"พูดอย่างนั้นได้อย่างไร"
"โธ่ท่านแม่ ข้ารู้ตัวดีอยู่ว่าไม่มีชายใดในต้าถังจะชายตามองข้าอยู่แล้ว ยิ่งกริยาท่าทางอย่างนี้ ใครจะอยากได้เป็นภรรยา"
"ดูพูดเข้าสิ"
"ไม่รู้ล่ะ เรื่องแต่งงานออกเรือนฟังไม่เข้าท่าเลย ข้าสนใจแต่เรื่องน่าสนุกเท่านั้น ข้าจะไปเที่ยวงานหยวนเซียวทุกคืนเลย"
"แก่นจริง ๆ เลยลูกคนนี้" ฮูหยินจางเอ็นดูลูกสาวคนเล็กเหลือเกิน กลับมาคราวนี้น่ารักน่าชัง ดูเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ของนางไปแล้ว ไม่ดูเงียบขรึมถือตัวเช่นฟางหลินคนเก่า
"ขอโทษหยางจื้อด้วยนะ ที่ทำให้ต้องมาเห็นกริยาไม่งามของฟางหลินอย่างนี้” ฮูหยินจางเอ่ยขอโทษ ฟางหลินขมวดคิ้ว หน้าเง้าหน้างอ
"ไม่เป็นไรขอรับท่านป้า นางก็ดูเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น" หยางจื้อกล่าว ก่อนจะยกถ้วยชาดื่ม
"ก็ข้ามันเด็กน้อยไม่รู้จักโต" ฟางหลินประชดประชัน ก่อนจะหยัดกายขึ้นตั้งท่าจะเดินจากไป
"ฟางหลินลูก" ฮูหยินจางเอ่ยเตือน ผินหน้าไปทางหลานชายเป็นเชิงออกคำสั่งกับลูกสาว ฟางหลินรู้ทันกล่าวตัดบทเนื่องด้วยไม่อยากต่อความยาวสาวกับยืดกับชายตรงหน้าอีก
"ข้าไม่ลืม ๆ ...ท่านอ๋องหยางจื้อ ฟางหลินขอลาเพคะ" นางย่อทำความเคารพ หยางจื้อหนหนึ่ง หน้าตาไม่เก็บอารมณ์ยียวน
หยางจื้อหัวเราะหึๆ ก่อนจะดื่มชาแล้วพูดคุยกับอ๋องต้าเจิงและอ๋องหงเชาต่อ เรื่องงานในพระราชสำนัก ทั้งสามคนสอบจอหงวนและเข้าทำงานในพระราชวังตามที่องค์จักรพรรดิทรงมอบหมายไว้ตามบทบัญญัติ แม้ว่าบรรพบุรุษของทั้งสองตระกูลจะเป็นพระญาติของตระกูลหลี่มาตั้งแต่ก่อนสมัยสุยก็ตาม พวกเขาก็ไม่หวังพึ่งเส้นสายเพื่อให้ได้เป็นขุนนางใหญ่โต ขอเป็นเพียงข้าราชบริภารรับใช้สนองพระปรีชาสามารถก็เท่านั้น หากแต่ความสามารถและความจงรักภักดีที่มี ทำให้จักรพรรดิองค์ก่อนซาบซึ้งในความจงรักภักดีนี้ จึงมอบพื้นที่ข้างพระราชวังในเขตตะวันออกของนครฉางอัน ท่านย่าชวดของตระกูลหวังเป็นหลานสาวของอดีตไทฮองไทเฮาของพระจักรพรรดิองค์ก่อนและตระกูลเหอผู้ซึ่งเป็นญาติของอดีตหวงไท่โฮ่ว ทั้งสองตระกูลจึงมีอำนาจสูงกว่าขุนนางทั่วไปแต่ก็ยังอ่อนน้อม แม้ว่าองค์ไท่จื่อ[1]จะสนิทสนมกับอ๋องต้าเจิงดั่งเช่นสหายก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยพึ่งเส้นสายขององค์ไท่จื่อในการทำงานเลยแม้แต่น้อย เพราะเพียงแค่มีวาสนาเกิดในตระกูลที่ดีอย่างนี้ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องมักใหญ่ใฝ่สูงเกินศักดิ์ไปกว่านี้
ระยะเวลาสามวันผ่านไปอย่างช้า ๆ และดูจะไม่ทันใจคนที่รอคอยเอาเสียเลย ดวงตะวันดวงโตค่อย ๆ เคลื่อนต่ำลง แสงแดดแรงกล้าอ่อนกำลังลง ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม พาดผ่านสวนด้านข้างของจวนเข้ามาตามกิ่งไม้ที่พลิ้วไหวไปมา
“หลิวอิง งานจะเริ่มกี่โมงเนี่ย ข้านับวันรอแล้วรออีก” ผู้เป็นนายนั่งจิบชาอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง ท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“โธ่ คุณหนู คุณชายใหญ่ยังไม่กลับออกมาจากในวังเลยนะเจ้าคะ ต้องรอคุณชายใหญ่ก่อน”
“เฮ้อ พี่ใหญ่คงไม่ได้จะเบี้ยวกันหรอกนะ”
“ข้าน่ะเลือกชุดที่สวยที่สุดของคุณหนูไว้ให้แล้วนะเจ้าคะ”
“พูดถึงชุด ข้าอยู่มาเป็นเดือนแล้วเนอะ เวลาอยากได้ชุดใหม่สักชุดนี่ต้องไปซื้อที่ไหนเหรอ”
“ก็ตลาดตะวันตกก็มีร้านผ้าเยอะนะเจ้าคะ ซื้อมาตัดเย็บเองไม่กี่วันก็ได้ชุดใหม่แล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่มีแบบที่ตัดเสร็จแล้วขายเหรอ” ฟางหลินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อย่างนั้นจะพอดีตัวคนใส่ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะคุณหนู”
“พอดีตัวคนใส่เหรอ” แต่ชุดที่นางใส่นี่ทั้งใหญ่ทั้งรุ่มร่าม ไม่เห็นจะมีตรงไหนพอดีตัวเลยนี่นา
“ไว้เราไปซื้อผ้ากันนะเจ้าคะคุณหนู ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้ไปหาซื้อเครื่องประดับเลย ช่วงที่คุณหนูไม่อยู่ มีของสวย ๆ มาขายเยอะแยะเชียวค่ะ คุณหนูต้องชอบแน่ๆ”
“อืม อย่างนั้นเดี๋ยวว่าง ๆ เราไปเดินเล่นด้วยกันนะ” ฟางหลินตอบรับข้อเสนอของสาวใช้ พลางหยิบขนมเข้าปากชิ้นหนึ่ง สูดลมหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ จะว่าสบายมันก็สบาย แต่อยู่ในจวนทั้งวันมันก็น่าเบื่อ ไม่ดื่มชาก็นั่งมองสวนทั้งวันจนรากจะงอกอยู่แล้ว
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฟางหลินหน้าตาตื่น มองหน้าหลิวอิงอย่างต้องการคำตอบ
“เจ้าคะ” หลิวอิงขานรับ
“คุณชายใหญ่ให้มาบอกคุณหนูฟางหลินว่าอีกสองชั่วยามจะพาไปเที่ยวชมเทศกาลหยวนเซียว”
“จริงเหรอ” ฟางหลินโพล่งถาม น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจสุดขีด
“เอ่อ...จริงเจ้าค่ะ คุณหนู” สาวใช้ด้านนอกตอบอย่งกล้าๆกลัวๆ
“อย่างนั้นเจ้าไปได้แล้ว” หลิวอิงเอ่ยบอกสาวใช้ด้านนอก ก่อนจะเดินเข้ามาหาเจ้านายที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่อย่างรู้ทัน
“เสียงท่านทำให้นางตกใจนะเจ้าคะคุณหนู นางเพิ่งมาทำงานที่จวนได้ไม่ถึงปี”
“เจ้าจะบอกว่านางกลัวข้าเหรอ”
“เจ้าค่ะ ไม่ผิดไปจากที่ท่านคิด”
“ข้าจะหักคอนางจิ้มน้ำพริกอย่างนั้นเหรอไง ข้าไม่ใช่ผีเสียหน่อย”
“นางยังเด็กน่ะเจ้าค่ะ แถมยังโดนแกล้งหลอกผีบ่อยๆด้วย”
“เด็กหรือ แล้วเท่าไหร่ถึงเรียกว่าเป็นสาวล่ะ”
“อายุถึงสิบห้าแล้วยังไม่แต่งงานก็จะต้องเสียภาษี..”
“ห๊ะ ภาษี แบบภาษีคนโสดน่ะเหรอ ทำไมล่ะ แล้วผู้ชายต้องเสียด้วยไหม”
“คุณหนูไปอาบน้ำร้อน ขัดผิวเสียก่อนดีไหมเจ้าคะ ข้าจะอาบให้แล้วจะเล่าให้ฟัง”
“งั้นรออะไรเล่า มา ๆ อาบน้ำ ๆ”
ฟางหลินเปลื้องผ้าก่อนลงไปแช่ตัวในถังไม้ใบใหญ่ที่บรรจุน้ำร้อนไว้ค่อนถัง ผิวน้ำมีกลีบกุหลาบลอย ทั้งยังส่งกลิ่นหอม
“หืม วันนี้กลิ่นหอมกว่าทุกทีนะ” ฟางหลินสูดดมฟุดฟิด พลางนึกถึงที่มาของกลิ่นหอมที่แปลกไป
“ก็วันนี้จะไปชมเทศการณ์หยวนเซียวทั้งทีนี่เจ้าคะ”
“ก็แค่ไปเดินดูโคมไฟไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำอะไรต่อมิอะไรให้ยุ่งยากขนาดนี้..ตั้งแต่เสื้อผ้าแล้วนี่นา”
“ฮิฮิ คุณหนูล่ะก็ เทศกาลหยวนเซียวใครเขาจะหวังแค่ไปชมโคมไฟกันเจ้าคะ”
“อ้าว ก็ไหนท่านแม่บอกว่าเป็นเทศกาลลอยโคมไฟไง”
“เทศกาลหยวนเซียว เอาไว้อวดโฉมแล้วก็...เป็นโอกาสได้พบเจอสาวงามทั่วเมืองต่างหากล่ะเจ้าคะ”
“อ้อ...หนุ่มสาวสมัยนี้เขาจีบกันตามงานเทศกาลเหมือนกันหรือนี่”
“คืนนี้คุณหนูจะต้องสวยกว่าทุก ๆ วันแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าขอรับรอง” หลิวอิงคุยโวก่อนจะนำผ้ามาขัดผิวของฟางหลินที่แช่ตัวอยู่
“แต่เจ้ายังไม่ได้เล่าเรื่องภาษีคนโสดให้ข้าฟังเลยนะ” ฟางหลินเอ่ยทวงเมื่อนึกขึ้นได้
“อ้อ..ข้าก็ลืมไปเลย คือว่ากฎหมายกำหนดให้สตรีที่อายุเกิน๑๕ปีและชายที่อายุเกิน๒๐ปีที่ยังไม่แต่งงานต้องเสียภาษีต่าง ๆ เพิ่มขึ้น”
“๑๕ เหรอ อย่างนั้นเจ้ากับข้าก็...”
“เจ้าค่ะ นายท่านกับฮูหยินยอมเสียภาษีแทนพ่อแม่ของข้าเมื่อปีที่แล้ว”
“อย่างนั้นปีนี้ข้ากับเจ้าก็ต้องเสียภาษีแพงขึ้นอีกเหรอ”
“ข้าก็ไม่ทราบ...” หลิวอิงทำหน้าเอียงอาย ทำให้ฟางหลินพอจะเดาได้ไม่ยาก นางผ่านโลกมาทั้ง ๒๔ ปีแล้วนี่นา ถ้าไม่เข้าใจก็คงจะแปลกไปเสียหน่อย แต่ถ้าถามว่านางช่ำชองแค่ไหนล่ะก็ แม้แต่จูบแรกก็ยังไม่เคยให้ใครเลยสักครั้งเดียว
เฮ้อ เกิดกี่ชาติก็นก ชาตินี้ก็โดนเขาหลอกให้คอย ชาติหน้าก็เจอแต่คนไม่จริงใจ อีกหน่อยนางคงต้องกลายเป็นพญานกอินทรี
