ตอนที่ 9 ศิษย์พี่? (2)
สามหาว!
นางด่าเขาในใจ ทว่าตอนนี้สภาพนางไม่ดีเท่าไรจึงต้องรักษาตัวรอดไว้ก่อน “ขออภัยคุณชาย ข้าได้รับบาดเจ็บ จึงรั้งตัวไม่อยู่จนร่วงลงมาใส่ห้องอาบน้ำของท่าน เชิญอาบน้ำอย่างสำราญใจเถิด”
นางขึ้นจากสระ ไม่หันหลังกลับไปมองร่างเปลือยเปล่าของเขาอีก ทว่าภายนอกมีการเคลื่อนไหว อีกฝ่ายจึงออกคำสั่ง
“เดี๋ยวก่อน!” เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากจึงได้แต่รั้งคนแปลกหน้าเอาไว้ครู่หนึ่ง
“องค์ชาย กระหม่อมทราบข่าวมาว่ามีสิ่งประหลาดตกลงมาในตำหนักซานซิง ไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีอะไร สหายจากแดนไกลมาเยี่ยมด้วยวิธีอันพิสดาร บอกทุกคนไม่ต้องแตกตื่นไปไกล และเรียกนางกำนัลมาปรนนิบัติสหายข้า”
เทพสาวนึกแปลกใจ แต่ก็มิได้เอ่ยอะไร นางทำให้อาภรณ์ของตนแห้ง ก่อนจะค่อยๆ ปัดกลีบดอกไม้ให้พ้นตัว นางกำนัลหน้าตาสะสวยจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา ครั้นพบนางก็ใบหน้าแดงก่ำ รีบก้มศีรษะไปทางชายหนุ่มเจ้าของห้องแล้วเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “องค์ชาย”
พวกนางเข้าไปช่วยปรนนิบัติชายหนุ่มในน้ำ ครู่หนึ่งได้ยินเสียงน้ำหยดกระทบพื้น เสียงเสื้อผ้าเสียดสี สมองของนางพลันเตลิดไปไกลจนใบหน้าร้อนผ่าว กระทั่งนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้จึงได้รีบสลัดความคิดอกุศลออกไป
“คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าจะให้ข้าน้อยปรนนิบัติ…”
“ไม่ต้อง ข้ามิได้เป็นอะไร”
“พวกเจ้าออกไปก่อน” หลังจากสวมอาภรณ์เรียบร้อย เขาก็สั่งเสียงเรียบ “เจ้าไปกับข้า”
เขาพานางมายังห้องรับรอง นางกำนัลจำนวนหนึ่งยกของว่างและชาร้อนมาให้ ชายหนุ่มยังคงจ้องนางไม่เลิก นั่นทำให้หงหลิงรู้สึกว่าบนใบหน้าของนางมีอะไรผิดปกติ อดลูบคลำเพื่อสำรวจมิได้
ก็ไม่มีอะไรนี่
“ข้างนอกมีทหารราชองครักษ์จำนวนหนึ่งพันนาย หากเจ้าตั้งใจจะมาทำร้ายข้า เพียงส่งสัญญาณออกไป ร่างของเจ้าจะกลายเป็นเม่นยักษ์ตัวหนึ่ง หรือไม่ก็อาจกลายเป็นชิ้นเนื้อที่ไม่อาจประกอบเป็นตัวเจ้าได้อีกต่อไป ดังนั้นแล้วมีเพียงตัวเลือกเดียวคือบอกความจริงแก่ข้า”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น นางทราบอยู่แล้วว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงแม้คนพวกนั้นจะคิดทำอันตรายนาง ก็หาได้ง่ายดายอย่างที่คิด อะไรกัน เมื่อครู่ยังไล่ข้า บัดนี้มาซักไซ้ไล่เลียง คนผู้นี้กินยาผิดสำแดงหรืออย่างไร
หงหลิงวางท่าสุขุม คว้าชาขึ้นมาสูดดมอย่างไม่อนาทร ขณะที่ถ้วยกระเบื้องจะแตะริมฝีปาก อีกฝ่ายกลับคว้าถ้วยชาในมือนางแล้วปาทิ้ง น้ำชาที่สาดบนพื้นพรมกลายเป็นสิ่งที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในทันใด
ดวงตาของนางยังคงสงบนิ่ง ทว่าดวงตาอีกคู่กลับปรากฏความเกรี้ยวกราดระคนตกใจ
“โง่สิ้นดี เจ้ากำลังจะกลืนยาพิษลงท้องยังไม่รู้ตัวอีกหรือ” น้ำเสียงของเขาเครียดเคร่ง สีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน
นางทราบก่อนแล้วว่าในนั้นมียาพิษ ทว่ากลับจงใจทดสอบมโนธรรมในใจเขา และคนผู้นี้ก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง
หงหลิงเอนกายพิงเก้าอี้ เท้าคางมองเขาพลางอมยิ้ม “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
เขาชะงัก เชิดหน้าแล้วกล่าว “ข้าอายุเท่าไรเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หงหลิงพูดต่อ “อายุสิบเจ็ดสมควรแต่งงานมีภรรยา ทว่าเจ้ากลับมีจิตใจอ่อนโยนกว่าที่ข้าคิด” นางวางแผนในใจ ที่จงใจดื่มยาพิษเพื่อทดสอบจิตใจเขาเพียงเท่านั้น “เช่นนี้เป็นอย่างไร เจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ ข้าจะพาเจ้าไปฝึกบำเพ็ญเป็นเซียน”
หงหลิงยิ้มอย่างมีไมตรีจิต คิดว่าเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนประดุจพระโพธิสัตว์กวนอิมอย่างไรอย่างนั้น
“เฮอะ เหลวไหล” เขาใช้สายตาดูแคลนมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มองขึ้นลงสามสี่ครั้งก็ยังคงแค่นเสียงขึ้นจมูกราวกับนางเป็นคนสติวิปลาสอย่างไรอย่างนั้น
หงหลิงหน้าชา บังอาจมาว่านางเหลวไหลได้อย่างไร นางเป็นถึงเทพบนสวรรค์ แค่ฝึกสุนัขเป็นเซียนยังทำได้ นับประสาอะไรกับเขาที่เป็นร่างจุติของมังกรชั่ว
นางลุกพรวดจนอีกฝ่ายตกใจ สบตาเขาพลางกัดริมฝีปาก “เจ้าหนุ่มน้อย ข้าอุตส่าห์มีเมตตารับเจ้าเป็นศิษย์ กลับมองข้ามความหวังดีของข้า ไม่เห็นหรือว่าเพียงพริบตาอาภรณ์บนกายข้าก็แห้งสนิท นี่มิใช่อาคมของเทพเซียนหรือ”
นางพยายามขายของอย่างสุดชีวิต
ใบหน้าอ่อนเยาว์กลับมาสงบดังเดิม เขายืดกายขึ้น ยังสูงกว่านางช่วงหนึ่ง ใช้ความสูงกดดันนางก่อนจะจิ้มหน้าผากของนางแล้วกล่าวว่า “ข้าเฉียนเวยเป็นถึงองค์ชายของแผ่นดิน จะให้จอมเวทไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสภาพไม่ต่างกับเด็กหนุ่มที่โตไม่เต็มที่รับเป็นศิษย์ ออกจะดูถูกกันเกินไปแล้ว คนอย่างข้า…หาอาจารย์ที่ดีกว่าเจ้าได้แล้ว อย่าเสียแรงเปล่าเลย”
หงหลิงยืดตัวแข่งกับเขา แม้จะตระหนกที่ชาตินี้เขาก็ยังกล้าใช้ชื่อเดิม นับว่าอหังการเกินผู้ใดแล้ว นิสัยชอบดูแคลนนางนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่น่าจะได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง[ น้ำแกงยายเมิ่ง ตามคติความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้นเชื่อกันว่า ยายเมิ่งเป็นเทพอาวุโสองค์หนึ่งในปรภพ เมื่อจะผ่านสะพานไน่เหอไปยังจุดแดนเพื่อเกิดใหม่ วิญญาณที่ผ่านการตัดสินเรียบร้อยแล้วจะต้องดื่มน้ำเบญจรสเพื่อให้ลืมความทรงจำในอดีต ก่อนจะข้ามสะพานไน่เหอไปเกิดใหม่อีกครั้ง] หรือไม่น้ำแกงยายเมิ่งก็เอาเขาไม่อยู่แล้วกระมัง
“ฮึ!” นางแค่นเสียง
มาหาว่านางเป็นชายหนุ่ม ก็เพราะมังกรชั่วอย่างเขาไม่ใช่หรือถึงทำให้นางเป็นเช่นนี้
เทพสาวล้มเลิกความคิดที่จะรับเขาเป็นศิษย์ พลันเห็นตรงหางตาว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาหาพวกนางพอดี
“ศิษย์พี่” เฉียนเวยแย้มยิ้ม ยกมือประสานทำความเคารพอวิ๋นจิ้งและอีกสี่ห้าคนตามกฎสำนัก “พวกท่านมาได้อย่างไร ยังไม่ถึงเวลาเริ่ม…” เขาหยุดพูดเมื่ออวิ๋นจิ้งประสานมือทำความเคารพหงหลิง
เทพสาวประหลาดใจ คิดถึงคำของเหลียวเยว่ที่เร่งให้นางลงมาโลกมนุษย์เพื่อรับเขาเป็นศิษย์ นี่นางยังมาช้าไปอีกหรือ หรือว่ามีใครยื่นมือเข้ามาขัดขวางการแต่งงานของเฉียนเวย
ไม่น่าไปแกล้งเจ้างูดินน้อยจนทำให้อดดูฉากเข้าหอของมังกรชั่ว น่าเสียดายจริงๆ
คราแรกหงหลิงคิดว่าเขาทำความเคารพตามมารยาท ทว่าประโยคต่อมากลับทำให้นางใจเต้นรัว
“ผู้น้อยคารวะศิษย์พี่ เมื่อครู่พวกเราตกใจจนทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายจึงวกไปหาอาจารย์เจ้าสำนัก พอเล่าให้ท่านทราบ อาจารย์เจ้าสำนักก็บอกว่าท่านเป็นศิษย์ที่ไม่ได้พบกันนาน เป็นข้ามีตาหามีแววไม่ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วยเถิด”
หงหลิงนิ่งอึ้ง มือไม้พลันเย็นเฉียบ หรือที่เหลียวเยว่บอกจะเป็นความจริง
เป็นไปได้อย่างไร…หรือจะเป็นอาจารย์จริงๆ
หนุ่มน้อยเฉียนเวยมีท่าทีตื่นตะลึง “ศิษย์พี่? หมายความว่าอย่างไรศิษย์พี่ใหญ่”
โทสะที่สุมอกพลันได้รับการเยียวยา หงหลิงอาศัยบารมีของศิษย์พี่ยืดคอเชิดหน้าสูง แอบแลบลิ้นใส่เฉียนเวยทีหนึ่งแล้วกระแอม “พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ช่วงนี้ร่างกายของข้าไม่ใคร่แข็งแรงนัก การฝึกเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ควบคุมพลังในร่างกายไม่สะดวก พวกเรากลับสำนักก่อน ข้ามีเรื่องต้องปรึกษาอาจารย์ ปล่อยให้องค์ชายใช้เวลาส่วนตัวลำพังเถิด”
“ช้าก่อน” อาจเป็นเพราะนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด ครั้นถูกยั่วยุเขาก็ยิ่งอยากเอาชนะ “ข้าลงเขามานานแล้ว มิสู้กลับขึ้นเขาไปพร้อมกับพวกท่านเลยเล่า”
เทพสาวแย้มยิ้ม “ประเสริฐ ข้าอยากเห็นความสามารถของศิษย์น้องอยู่พอดี”
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้นางเบิกบานเพียงใด
หึๆ มังกรชั่ว อาศัยร่างมนุษย์มาต่อกรกับข้า ฝันไปเถอะ
ไม่น่าเลย…ไม่น่าเลยจริงๆ
หงหลิงทำได้เพียงพูดประโยคนี้ในใจเป็นหมื่นครั้ง เพราะมันไม่น่าเลยจริงๆ
สวรรค์ต้องเห็นว่าชีวิตนางสงบสุขและราบเรียบเกินไป ถึงได้ส่งตัวป่วนอย่างเหลียวเยว่มากลั่นแกล้งนาง
หากแต่ความเป็นจริงแล้วอาจเป็นเพราะนางทำเรื่องชั่วช้ากับเหลียวเยว่มานับแสนปี คนผู้นั้นถึงได้ทำร้ายนางด้วยการปั่นหัวนางเช่นนี้
ผู้ใดบอกว่ามหาเทพเสวียนอู่กลับสู่แดนกำเนิด ผู้ใดบอกว่าเขาสลายจิตดับวิญญาณเพื่อใช้พลังทั้งหมดต่อสู้กับจอมมาร
ไม่มีผู้ใดบอก…แต่เป็นนางเห็นกับตา เป็นนางที่เห็นกับตาว่าละอองแสงสีทองจากร่างอาจารย์สลายไปต่อหน้าต่อตา เป็นนางที่กอดร่างของอาจารย์เอาไว้จนไม่เหลือแม้แต่ไออุ่นของจิตวิญญาณ
ทว่าตอนนี้ อย่าว่าแต่ร่างกายของอาจารย์เลย แม้แต่กลิ่นอายเทพ ประกายวิญญาณ ก็ยังเป็นอาจารย์คนเดิม ผู้เฒ่าเต่าเจ้าระเบียบที่นางรักไม่ต่างจากบิดา
ใบหน้าและแววตาอันคุ้นเคยทำให้จิตใจของนางสั่นไหว น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงจากข้างแก้ม หากแต่กลับลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางอก มิได้ร่วงลงสู่พื้นแต่อย่างใด
น้ำตาสีขาวราวกับน้ำนมที่ส่องประกายแวววาวคล้ายมุกราตรีเป็นของล้ำค่า แม้จะเป็นเทพเซียนชั้นสูงก็มิใช่จะหามาครอบครองได้โดยง่าย ชายชุดเขียวย้ายหยดน้ำตาของนางใส่ในขวดแก้วขนาดเท่ากำมือ ก่อนจะเก็บซ่อนมันให้พ้นจากสายตา
“น้ำตาหงสาล้ำค่าหายาก จะปล่อยให้เสียของได้อย่างไร เสี่ยวหง...เจ้ายังเจ้าน้ำตาเหมือนเดิม”
เมื่ออยู่กันตามลำพังมหาเทพเสวียนอู่หรือไป๋หยางสุ่ยมิได้มีท่าทางสุขุมน่าเกรงขามอีกต่อไป
น้ำแกงหัวปลาน้ำแรกจะเป็นส่วนที่เข้มข้นที่สุด หากเติมน้ำลงไปและเคี่ยวเพิ่มเติมก็จะได้เพียงน้ำแกงที่รสชาติเจือจาง อาจารย์เปรียบเทียบน้ำตาของนางกับน้ำแกง บอกว่าน้ำตาหงสาหยดแรกจะเป็นสิ่งที่กลั่นความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลในจิตใจจนหลั่งออกมา แม้เพียงหยดเดียวก็มีค่ามากมายมหาศาล
เฟิ่งหวงสามารถแผดเผาทั้งตนเองและผู้อื่น น้ำตาธรรมดาจะเหือดแห้งไปในทันทีที่สัมผัสข้างแก้ม มีเพียงความรู้สึกจากใจจริงเท่านั้นจึงจะทำให้นางหลั่งน้ำตา
