ตอนที่ 8 ศิษย์พี่? (1)
บรรยากาศที่กำลังเย็นสบายพลันหนาวเยือก เหลียวเยว่ยิ้มค้าง ถูกดวงตาคู่งามตรึงนิ่งไม่อาจเขยื้อนไปไหน เผลอชะล่าใจเพียงแวบเดียวนางก็สามารถใช้อาคมกับเขาจนได้ พลันนึกประหลาดใจที่แม้พลังตบะจะถูกผนึกไปถึงเจ็ดส่วนแต่ก็ยังกล้าแกร่งถึงเพียงนี้
“เสี่ยวหง เจ้าจะทำอะไร” เหลียวเยว่ถูกนางใช้อาคมตรึงร่างจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ละครั้งล้วนไม่มีอันใดดี พลันตระหนักถึงเรื่องที่ตนเองเผลอพูดออกไปเมื่อครู่ จึงกระจ่างแกใจในทันทีว่ายามนี้นางต้องการสิ่งใด
เทพสาวในคราบชายหนุ่มนั่งไขว้เท้า อาภรณ์สีฟ้าอ่อนสะบัดพลิ้วตามแรงไหว กลิ่นหอมอ่อนกำจายไปทั่ว
เหลียวเยว่หัวคิ้วชนกัน ลูกเจี๊ยบตัวนี้ถึงกับวางแผนใส่ยาในถ้วยชา มิน่าเล่าถึงใช้อุบายกับเขาได้ทั้งๆ ที่พลังตบะหายไปมากขนาดนั้น
“เจ้ามัน…” เขารีบกลืนคำพูดในทันทีเมื่อหงหลิงตวัดสายตารู้ทัน เทพหนุ่มอยากตีอกชกหัวตัวเอง แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มประจบแล้วถามนาง “เสี่ยวหง เจ้าอยากจะทำอะไรก็รีบทำ ก่อนที่จะลงไปโลกมนุษย์ไม่ทันเถอะ”
นางทำเป็นแคะขี้เล็บ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน หญิงสาวเสกขนนกออกมาเส้นหนึ่ง สะบัดข้อมือเล็กน้อย ตัวของเหลียวเยว่พลันอ่อนยวบตกสู่อ้อมแขนของนาง มือข้างที่ยังแข็งแรงดีหิ้วคอเสื้อสหายรัก โยนเขาลงบนแคร่แล้วจัดการถอดรองเท้าและถุงเท้าให้ชายหนุ่ม เหลียวเยว่สังหรณ์ใจพิกลแต่ก็ไม่ทันกาล เขากลั้นน้ำตาหยดหนึ่งไว้ได้ทันขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นสะท้าน
“ฮ่าๆ ๆ ๆ เสี่ยวหง เจ้านกสารเลว จะทำอะไรก็รีบทำ ฮ่าๆ ๆ ๆ คนเลว เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เหลียวเยว่บ้าจี้ ข้อนี้นางรู้ดีที่สุด หงหลิงปล่อยมือ ทว่าขนนกยังคงปัดป่ายไปมาตรงฝ่าเท้าของเทพหนุ่ม สิ้นท่าประมุขของสำนักหลิงหลงโดยสิ้นเชิง เหลียวเยว่หัวเราะทั้งน้ำตา ทั้งก่นด่าทั้งขอร้อง นางรอกระทั่งเขาสะอื้นจึงสั้นให้ขนนกนั้นหยุดการจู่โจม ถามสหายรักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เสี่ยวเยว่…บอกความจริงมา เจ้าวางแผนอะไรกับมังกรชั่ว”
เหลียวเยว่หายใจหอบเหนื่อย ดวงหน้าหล่อเหลาแดงซ่านประหนึ่งกำลังเมามาย ชายหนุ่มรูปงามสองคนกำลังหยอกเย้ากัน คนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอน อีกคนนอนสิ้นท่า หากผู้อื่นมาพบเห็นคงแอบไปคิดว่าทั้งสองกำลังทำอะไรที่มิดีมิงามเป็นแน่ ราวกับว่าตั้งแต่เกิดมาสวรรค์ก็จงใจให้เขาตกเป็นรองนางทุกกระบวนท่า ครั้นหัวเราะจนสิ้นฤทธิ์ เทพหนุ่มก็เข้าใจแล้วว่าการเป็นศัตรูกับนางเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
“เขาแค่อยากดัดหลังเทียนจวิน”
“หืม? เขาน่ะหรือ เจ้ามิใช่ถูกเขาหลอกใช้มาอีกคน”
“ฮึ…ถึงข้าจะแพ้ทางเจ้า แต่กับผู้อื่นข้าก็มิได้ไร้น้ำยาถึงเพียงนั้น คนผู้นั้นขอร้องให้ข้าส่งเจ้าไปให้ถูกที่ถูกเวลาก็เท่านั้น”
หงหลิงกลอกตา นางคิดไว้แล้วว่ามิใช่เทียนจวินที่วางแผนเช่นนี้ ทำเหมือนจงใจให้นางเข้าสู่แผนการ ตาเฒ่านั่นยังไม่รู้เลยว่านางอยู่ที่ไหน อีกอย่างเหลียวเยว่ตัดขาดกับผู้เป็นบิดามานาน มีหรือจะเข้าพบผู้เฒ่าเฝ้าสวรรค์คนนั้นได้โดยที่ไม่ถูกลงโทษ
นางคลายมนตร์สะกดให้เขา เหลียวเยว่รีบลุกขึ้นแต่งตัวพลางมองค้อนนางทีหนึ่ง บ่นในลำคอว่า “หากมีศิษย์ในสำนักมาเห็นเข้า ข้าจะโกรธเจ้าสักเจ็ดหมื่นปี คอยดูสิว่าใครจะคอยช่วยเหลือเจ้าได้อีก”
หงหลิงแค่นเสียงขึ้นจมูก “รอให้ครบเจ็ดหมื่นปีข้าค่อยละสังขาร ถึงตอนนั้นเจ้าจะหาคู่ครองก็คงทำไม่ได้ ปล่อยให้เป็นมังกรเฒ่าเหี่ยวเฉาตายไปบนยอดเขาหลิงหลงนี่เถิด”
ครั้นนางพูดจบเหลียวเยว่ก็พลันพลิกลิ้น กล่าวปะเหลาะนางไปทีหนึ่ง “เสี่ยวหลิงก็…รีบลงไปเถอะ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเฉียนเวยเตรียมงิ้วเรื่องใดรอเจ้าอยู่”
หงหลิงพยักหน้ารับ “อืม” กระนั้นก็นึกได้ว่าควรจะใช้เมฆสีทองในการเดินทาง ทว่านางลืมคาถานี้ไปแล้ว จึงได้แต่ถามสหายรักอย่างเขา “นี่เสี่ยวเยว่ คาถาเรียกเมฆมงคลทองใช้ยังไงกัน”
เหลียวเยว่ลอบถอนใจ เสกม้วนไม้ไผ่ม้วนหนึ่งยื่นให้นาง “เวลาเจ้าท่องคาถา ให้คิดเหมือนว่ากำลังขี่อาวุธวิเศษ แต่จงใช้สัมผัสทางใจเหมือนกับตอนที่เจ้ากำลังบิน อ้อ…อย่าว่อกแว่ก ปีกเจ้าโกร๋นขนาดนั้น ระวังตกลงมาบาดเจ็บเข้าใจหรือไม่”
หงหลิงพยักหน้า ตกจากที่สูงยังไม่เจ็บใจเท่าที่เขาว่าปีกนางโกร๋น ใบหน้าจึงบึ้งตึงเล็กน้อยแล้วกล่าว “ขอบใจ” จากนั้นจึงเรียกเมฆสีทองทันที
เหลียวเยว่มองตามร่างโปร่งบางที่ค่อยๆ หายลับไปพร้อมกับเมฆสีทอง ดวงตาพลันหม่นแสงลงเล็กน้อย พิงโต๊ะชาพลางทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“เป็นแต่เทพกำเนิดนอกจากจะไม่มีชีวิตเป็นของตนเองแล้ว แม้แต่ด่านเคราะห์ก็ยังเป็นด่านเคราะห์ที่ส่งผลต่อหกภพภูมิ เสด็จพ่อไม่เคยเข้าใจในเรื่องนี้ ข้าจึงทนไม่ได้ที่เห็นเขาใช้อำนาจในฐานะประมุขสวรรค์บีบบังคับเทพกำเนิดแต่ละองค์ให้เสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น แม้แต่เจ้าก็อาจไม่รู้ อาจารย์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเสียสละจนดวงจิตสลาย หากแสนกว่าปีก่อนเทียนจวินไม่มีทิฐิจนทำให้เกิดสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ มีหรือที่พี่สามจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และผู้คนต้องมาเดือดร้อนกันเช่นนี้ เป็นเทพเซียนแล้วอย่างไร มารปีศาจแล้วอย่างไร หากไม่อาจละทิ้งจิตมารในตนได้ก็ล้วนไม่ต่างกัน ส่งเจ้าไปโลกมนุษย์ในครั้งนี้ หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตให้สงบสุขได้สักสิบปียี่สิบปี”
ส่วนด่านเคราะห์ของนางนั้น…เหลียวเยว่ถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง
“สักวันนางคงจะเข้าใจทุกเรื่อง ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพรายจนหมด”
ขี่เมฆมงคลข้ามผ่านสิบหมื่นขุนเขาคล้ายกับฟื้นคืนพลังชีวิตให้กับนางอีกครั้ง หงหลิงแย้มยิ้มเบิกบาน ครั้นลงมาถึงโลกมนุษย์ก็ยังอดร่อนไปร่อนมาเหนือยอดเขาสูงไม่ได้ ความรู้สึกยามกระแสลมเย็นปะทะผิวกายเช่นนี้นางคิดถึงเหลือเกิน
ขณะที่ร่อนอยู่ด้านบน คนด้านล่างก็พลันแตกตื่น โดยที่หงหลิงไม่ทันสังเกตก็ถูกเหล่าศิษย์เซียนด้านล่างขี่กระบี่ขึ้นมาหมายจะตรวจสอบดูว่าเป็นมิตรหรือศัตรู นางชะงักเล็กน้อยจนแทบร่วงหล่นจากก้อนเมฆสีทอง เคราะห์ดีที่ไหวตัวทันจึงเซเพียงเล็กน้อย ครั้นศิษย์เซียนคนหนึ่งขี่กระบี่วิเศษมาเทียบเคียงนางได้พร้อมกับอีกสี่ห้าคนที่ตามขึ้นมาจึงประกาศตัวไต่ถามนางในทันที
“ผู้น้อยอวิ๋นจิ้งเป็นศิษย์รุ่นที่หนึ่งร้อยหกสิบสามของสำนักคุนหลุน ขอถามคุณชายว่าเป็นเซียนจากสำนักใดจึงสามารถขี่ก้อนเมฆสีทองเข้าเขตสำนักเราได้”
อวิ๋นจิ้งถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หากแต่แฝงแววเคลือบแคลงสงสัย สำนักคุนหลุนไม่เคยมีใครสามารถบุกฝ่าม่านอาคมของอาจารย์เจ้าสำนักได้ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่กล้าทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนัก บุรุษหน้าตาสุภาพอ่อนโยนบนเมฆสีทองนี้มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา เขาเกรงว่าเป็นแขกของเจ้าสำนักจึงมิกล้าล่วงเกิน
หงหลิงคิดหาคำแก้ตัว แต่นางจวนเจียนจะร่วงจากเมฆอยู่รอมร่อ จึงส่งรอยยิ้มสุภาพให้กับหนุ่มน้อยผู้กล้าแล้วกล่าวว่า “ท่านเซียนน้อย ไม่เชิญข้าลงพื้นแล้วค่อยไต่ถามเล่า”
อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าคนเองเสียมารยาทต่อคุณชายตรงหน้าจึงกล่าวขออภัย ทว่ายังไม่ทันจะผายมือ ชายหนุ่มตรงหน้าพลันเคลื่อนที่ลงสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วสูง
“คุณชาย!” อวิ๋นจิ้งและศิษย์ร่วมสำนักพยายามเร่งความเร็ว ทว่าตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน
หงหลิงพยายามควบคุมความเร็วของเมฆสีทอง ทว่ายิ่งควบคุมกลับยิ่งเป๋ไปมา แทนที่จะร่อนสู่สำนักคุนหลุนกลับเบี่ยงไปทางเมืองด้านล่าง เทพสาวร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว จิตใต้สำนึกสั่งให้แปลงกายเป็นหงส์เพลิง
แสงสีทองสว่างวาบเหนือท้องฟ้าของเมืองเฟิงหยาง ทว่าเพียงพริบตาเดียวไฟก็พลันดับวูบ ร่างเฟิ่งหวงเอียงวูบสู่ตำหนักหลังหนึ่งในเขตวังหลวง
ผู้คนแตกตื่นคิดว่ามีข้าศึกบุกโจมตี ทหารทั่วทั้งวังหลวงพากันรายงานและระดมพลสู่ตำหนักซานซิง บรรดาโหรหลวงต่างก็รีบเข้าเฝ้าจักรพรรดิเพื่อกราบทูลคำทำนาย
ขณะเดียวกันในตำหนักซานซิง ร่างหงส์ร่วงทะลุหลังคาตำหนักสู่สระน้ำร้อน คลื่นน้ำพัดพากลีบบุปผากระจายจนเปียกชุ่มไปทั่ว เหล่านางกำนัลกรีดร้องระงมแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
หงหลิงอาศัยจังหวะที่อยู่ใต้น้ำร้อนรีบคืนร่างมนุษย์ก่อนที่จะถูกจับได้
เทพสาวตะเกียกตะกายโผล่พ้นเหนือน้ำ เส้นผมสีดำเหลือบทองแดงเต็มไปด้วยกลีบบุปผาหลากสีสัน อาภรณ์สีฟ้าแนบชิดเรือนร่างโปร่งบางจนเผยให้เห็นสัดส่วนชัดเจน
นางสูดลมหายใจเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ กลิ่นหอมหวานของบุปผชาติฟุ้งกระจายในมวลอากาศ มือเรียวลูบน้ำออกจากใบหน้า ในครรลองสายตามองเห็นใบหน้าตื่นตะลึงและร่างกายเปลือยเปล่าของบุรุษผู้หนึ่ง
เพียงแค่เห็นใบหน้าของเขา นางก็พลันสั่นสะท้านไปถึงดวงจิต เทพสาวตัวแข็งทื่อ คิดไม่ถึงว่าบุรุษตรงหน้าจะเป็นคนเดียวกันกับมังกรชั่วผู้นั้น
แถมยังเป็นมังกรถูกขอดเกล็ด เปลือยเปล่าล่อนจ้อน คล้ายกับงูเผือกที่กำลังลอกคราบตัวหนึ่ง
ใบหน้าอ่อนเยาว์ทว่าแฝงความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้นางเผยแววตาขบขัน ขณะเดียวกันดวงหน้างามที่แฝงไปด้วยความตื่นตกใจก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มอ่อนโยน ชายหนุ่มผู้นั้นถอยห่างไปชิดขอบสระ กลีบบุปผาช่วยปกปิดร่างกายท่อนล่าง กระนั้นก็ไม่อาจบดบังแผงอกกำยำของเขาได้
ภายใต้ความเย็นชากลับงดงามเย้ายวนราวกับปีศาจจิ้งจอก หงหลิงมองแววตาเย็นชาคู่งามด้วยความหลงใหล พลันสะดุ้งสุดตัวเมื่อตระหนักได้ว่าร่างหลังจุติของมหาเทพเฉียนเวยมังกรชั่วในยามนี้ได้กลายเป็นทายาทของโอรสสวรรค์ซึ่งมีเชื้อสายของเผ่าจิ้งจอกเก้าหางไปแล้ว
นางถอยกรูด สีหน้าพลันสงบนิ่ง มองเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขาราวกับมองท่อนไม้ท่อนหนึ่ง
ยามที่วัตถุแปลกประหลาดสีทองสว่างจนตาพร่าร่วงสู่ผืนธารบุปผชาติ ช่างงดงามราวกับภาพวาด ครั้นเห็นร่างบอบบางเย้ายวนแหวกผ่านธารน้ำที่ปกคลุมไปด้วยไอร้อนดูงดงามราวกับเทพธิดาแห่งมวลบุปผากำลังบานสะพรั่ง
หากแต่ทั้งหมดทั้งมวลกลับพลันสลายไปเมื่อความจริงปรากฏตรงหน้า ราวกับถูกค้อนเหล็กทุบกะโหลกศีรษะจนรวดร้าวเกินจะทานทน
นั่นมันบุรุษ!
ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องซึ่งตกใจในคราแรก ครั้นเห็นผู้มาเยือนสามารถสงบนิ่งได้ก็พลันเรียกสติกลับมา เขามองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาจับผิด มองใบหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งขัดกับแววตาของผู้เจนโลกแล้วนึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ดวงหน้าของอีกฝ่ายงดงามทระนง แฝงไปด้วยความผยองมาตั้งแต่เกิด หากแต่เมื่อมองปราดไปทั่วทั้งร่างของอีกฝ่าย แววตาพลันปรากฏร่องรอยของความผิดหวังวูบหนึ่ง แม้ว่าในใจจะคิดสงสัย หากแต่ก็กลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยในการออกคำสั่ง “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ไสหัวออกไปจากห้องอาบน้ำของข้าเดี๋ยวนี้!”
