ตอนที่ 4 หวนคืน (2)
เทียนจวินสบตากับโอรส สีหน้าพลันสงบราบเรียบไร้กังวล “เซียนน้อย เจ้าหายใจก่อน นอกจากนี้มีอะไรอีกหรือไม่”
ซือซิงส่ายหน้า แววตาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนจะระบายความกังวลออกมา “กระหม่อมเกรงว่าเหล่าเซียนบนสวรรค์จะได้รับอันตรายพ่ะย่ะค่ะ”
เซียนในท้องพระโรงสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ถึงเก้าส่วน จึงมิได้แตกตื่นกันแล้ว เทียนจวินจังมีรับสั่ง “บอกให้เซียนทั้งหมดถอนกำลังออกมา ไม่ต้องไปเฝ้าศิลาสวรรค์ ระหว่างนี้ตระเตรียมงานชุมนุมบุปผชาติในอีกสามวัน”
“ฝะ…ฝ่าบาท!” ซือซิงแทบจะร่ำไห้ ศิลาสวรรค์เป็นความรับผิดชอบของเขา หากมันพังไป นั่นมิเท่ากับว่าเขาต้องรับผิดชอบรับทัณฑ์สวรรค์หรอกหรือ
“เซียนซือซิง เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป เทพมังกรเพิ่งตื่นจากการหลับใหล ศิลาสวรรค์คือสิ่งที่เทพบิดรสร้างขึ้น เขาอาจต้องการลับกรงเล็บให้แหลมคมก็เป็นได้”
หากเฉียนเวยได้ยินคงหน้าตึง ทว่าซือซิงกลับถอยกรูด เอามือปิดปากด้วยความตกตะลึง
ทะ…เทพมังกรหรือ?
ลัดเลาะผ่านแมกไม้ แหวกว่ายผ่านกระแสธารา กว่าจะถึงยอดเขาหลิงหลงด้วยย่างก้าวหมื่นลี้ หงหลิงใช้เวลาถึงสามวันสามคืน
เชิงเขาหลิงหลงเป็นประตูเซียน สำหรับต้อนรับผู้บำเพ็ญจากทั้งหกภพภูมิ แม้แต่มารหรือปีศาจ หากสามารถผ่านด่านกระจกส่องใจไปได้ ก็สามารถบำเพ็ญเป็นเทพเซียนได้เช่นกัน
ร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีขาวสะท้อนแสงจันทรา มือที่ไพล่หลังหมุนขลุ่ยหยกสีเข้มไปมาราวกับกำลังคิดไม่ตก เส้นสายบนใบหน้าปรากฏเหลี่ยมเงางดงาม ผิวกายที่ต้องแสงจันทราคล้ายทอประกายเรื่อเรืองแลดูน่าค้นหา หากลอบมองจากที่ไกลๆ ก็คล้ายกับหนุ่มน้อยเจ้าสำราญคนหนึ่ง
ทว่านางเป็นสตรี สตรีที่ใดจะชอบให้ผู้อื่นเรียกคุณชาย ดวงตาหงส์อ่อนแสงลง ก้มมองหน้าอกอย่างเศร้าสลด
ต่อให้นางบอกผู้อื่นว่าเป็นหญิง แล้วใครจะเชื่อเล่า คนพวกนั้นต้องคิดว่านางวิปริตผิดเพศอย่างแน่นอน
หงหลิงทอดถอนใจ แกว่งขลุ่ยในมือขณะเดินไปข้างหน้า นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเทพอย่างนางต้องเดินผ่านกระจกส่องใจตรงเชิงเขาหลิงหลงเช่นนี้
ลมพัดหวีดหวิว เสียงสวบสาบของใบไม้ดังขึ้นคล้ายข่มขวัญ หงหลิงแค่นเสียงขึ้นจมูก นึกดูถูกเหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่คิดจะแกล้งผู้อื่น
ประเดี๋ยวเดียวหัวใจของเทพสาวก็พลันห่อเหี่ยว ปกตินางมักจะจงใจแกล้งสาดรัศมีเทพใส่พวกเซียนที่อยากรู้อยากเห็นว่าใบหน้าของนางเป็นเช่นไรเพื่อจะเอาไปคุยข่มผู้อื่นต่อ ส่วนใหญ่จึงไม่มีใครรู้ชัดว่าใบหน้านางจะงดงามหรืออัปลักษณ์ หากแต่ตอนนี้อย่าว่าแต่รังสีเทพเลย แม้แต่จะใช้ย่างก้าวหมื่นลี้ยังสิ้นเปลืองพลังจนแทบจะยืนไม่ไหว คล้ายกับสวรรค์จงใจกลั่นแกล้งนางด้วยความเอ็นดูโดยเฉพาะ
นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แกว่งขลุ่ยหยางเยี่ยนไปเบื้องหน้าไม่หยุด
ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำลอยตามลม ขนคอของนางพลันลุกชัน มือขวากระชับอาวุธวิเศษแน่นขึ้น
กระแสลมร้อนปัดป่ายผิวคอขาวผ่อง กลิ่นอายคล้ายฟางข้าวลอยกระทบนาสิก เทพสาวในสภาพหนุ่มน้อยหันขวับ แววตาที่มักเกียจคร้านในการมองถลึงกว้างไปยังใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ต้นหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขุ่น
“เหลียวเยว่! คิดว่าได้เป็นอาจารย์ผู้อื่นแล้วจะกลั่นแกล้งข้าได้หรือ!”
พริบตาร่างนั้นพลันปรากฏตรงหน้า อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์พลิ้วไหว เส้นผมดำขลับปัดผ่านใบหน้าหงหลิงพอให้นางจั๊กจี้ คิ้วกระบี่พาดเฉียงเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมโค้งขึ้น รอยยิ้มขบขันพลันปรากฏ เขามองหน้าอกที่เปลี่ยนไปของนาง กล่าวหยอกเย้า “นกน้อยของข้า เหตุใดยิ่งนานหน้าอกของเจ้ายิ่งย่อยสลายไปราวกับสังขารของมนุษย์เล่า”
“งูดินน้อย อยากให้ข้าจับเจ้าลงไปว่ายน้ำแข่งกับปลาไหลหรือไม่” ดวงตาหงส์ปรากฏแววอำมหิต กลีบปากบางกระตุกเป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
เหลียวเยว่หน้าตึง ยืดกายขึ้นสูงคิดข่มนางด้วยสัดส่วนที่แตกต่าง ทว่าหงหลิงหาได้ใส่ใจไม่ นางหันหลังกลับไปสนใจกับทางขึ้นเขาต่อ
หนึ่งในเทพผู้เลื่องชื่อไปทั่วทั้งหกภพภูมิอย่างเหลียวเยว่ถูกศิษย์ร่วมอาจารย์หมางเมินเช่นนี้ย่อมมิได้ถือสา ทว่าสภาพผิดปกติของคนตรงหน้ากลับทำให้แววตาของเขาขรึมลง เอ่ยเสียงเครียด
“เสี่ยวหง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
เขาจับนางให้หมุนกลับ ล้วงเอาพัดประจำตัวมาตบไปตามร่างกายของนาง หงหลิงคิดว่าเขาตีเล่นๆ จึงมิได้คิดอะไร ทว่าเมื่อด้ามพัดสัมผัสกับแขนของนาง ร่างของหงหลิงก็พลันทรุดลงในทันที
“เจ้าบาดเจ็บหรือ เมื่อครู่ข้าลองใช้อาคมตรวจสอบ เกิดอะไรขึ้นกับปีกไก่ของเจ้า”
หงหลิงถลึงตาใส่ “ปีกไก่บ้านเจ้าสิ ข้าจะผ่านขึ้นไปได้อย่างไร” นางถาม หันไปยังทางขึ้นเขาหลิงหลง ตอนนี้อยากนอนจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
“เจ้าอย่าเพิ่งเฉไฉ ไปทำอะไรมาจึงเป็นเช่นนี้ได้”
หากบอกความจริงไปคนรักหน้ายิ่งชีพอย่างนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เหลียวเยว่สังเกตเห็นพิรุธจากนางก็พอจะคาดเดาอะไรออก นางเรียกอาวุธวิเศษออกมาใช้ คิดว่าคงจนตรอกแล้วจริงๆ
เห็นแก่ที่เป็นสหายกันมานานจึงทำเป็นมองข้ามไปชั่วคราว
“ไม่พูดก็เรื่องของเจ้า นึกไม่ถึงเทพปักษาต้องเดินดินขึ้นเขาหลิงหลง หากผู้อื่นรู้เข้าคงล้อเจ้าไปจนตาย”
“พูดมากจริงๆ อ๊ะ…เจ้าทำอะไร”
เหลียวเยว่หันหลังย่อให้นาง มือทั้งสองข้างหงายขึ้นแล้วยื่นมาข้างหลัง
“ขี่หลังข้าขึ้นไปเร็วกว่า”
“แต่ข้า…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากทดสอบกระจกส่องใจ แต่นี่ใช่เวลาหรือ บาดเจ็บขนาดนี้ยังทำเป็นเล่นอีก” เขาพูดเสียงดุ
หงหลิงแลบลิ้นใส่แผ่นหลังชายตรงหน้า อยากกวนเขาอีกหน่อย “อุ้มข้าไปไม่ดีกว่าหรือ”
เหลียวเยว่แค่นเสียงขึ้นจมูก “ไม่ได้”
“เล่นตัว” นางว่า แต่ก็ขี่หลังเขาแต่โดยดี
“หึ…ข้าเก็บอ้อมแขนไว้อุ้มเจ้าสาว อุ้มหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงอย่างเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าจะถูกบรรดาศิษย์หลิงหลงเข้าใจผิดไปไกล”
เหลียวเยว่ลุกขึ้น ผิวปากเสียงเบา เมฆมงคลเคลื่อนมาใต้ฝ่าเท้า “จับข้าแน่นๆ”
“อืม…ลืมไปเลยว่ายังมีเมฆมงคลอยู่” นางพึมพำ ลมเย็นปะทะผิวหน้า ราวกับว่ากำลังสยายปีกบินอยู่เหนือท้องฟ้า
“หงส์จอมหยิ่งทะนงอย่างเจ้า เกียจคร้านไม่อยากฝึกขี่เมฆเอง จะมาบ่นอะไรตอนนี้”
“พอบินไม่ได้ ก็เริ่มเห็นประโยชน์บ้างแล้วล่ะ”
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”
หงหลิงไม่เถียง เคยคางบนบ่าของเทพหนุ่ม นึกถึงตอนเด็กที่เคยเล่นเคยเรียนด้วยกัน เหลียวเยว่คือเพื่อนที่นางไว้ใจและสนิทสนมมากที่สุด “อาเหลียว ข้าง่วงแล้ว”
ใบหน้าของเขาอ่อนลง ขานรับคำหนึ่ง “เหนื่อยแล้ว พักเถอะ”
"นี่"
"หืม..."
"ข้าเปลี่ยนนามแล้วนะ"
เหลียวเยว่เลิกคิ้ว ยังไม่ถึงเวลามิใช่หรือ แต่นางล้าเต็มทีแล้ว คงไม่อยากอธิบายอะไร "อืม"
"หงหลิง"
เมฆมงคลลอยต่ำ หยุดอยู่ตรงเรือนพักริมหน้าผาสูง แสงจันทร์สีเงินยวงสะท้อนป้ายชื่อด้านหน้าเป็นประกาย หงหลิง คล้ายกับตอบรับการกลับมาของนาง
"พอจับติ้วได้ชื่อนี้ ข้าก็คิดว่าควรกลับมา อย่างน้อยชื่อนี้อาจารย์ก็ตั้งให้"
"นับว่ากตัญญู" เขาวางนางไว้ที่เตียง คอยห่มผ้าให้ "จอมเกียจคร้านอย่างเจ้า ยามนี้ใช้ชื่อที่อาจารย์ตั้งให้ นับว่าไม่เลวแล้ว"
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาคิดว่านางหลับแล้วจึงหันหลังกลับ หงหลิงพลันเอ่ยพึมพำ
“อาเหลียว…เขากลับมาแล้วล่ะ”
“อืม…” เหลียวเยว่ถอนใจ พึมพำเสียงแผ่ว “วางใจเถอะ หากเจ้าไม่สมหวัง ข้าเองก็ต้องโดดเดี่ยว ใครใช้ให้หน้ามืดสาบานตนว่าจะช่วยเจ้าจนเป็นฝั่งเป็นฝากันเล่า”
‘เหลียวเยว่ขอสาบานตน หากช่วยให้เสี่ยวหงเป็นฝั่งเป็นฝาไม่ได้ ชาตินี้ไม่ขอมีบุพเพกับผู้ใด’
