บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 หวนคืน (1)

เสียงกัมปนาทสงบลง เหล่าเซียนน้อยใหญ่ต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เทพปักษาที่แหวกว่ายอยู่ในสระปทุมทองถูกอสนีบาตฟาดลงมาเต็มๆ ร่างของนางแตกสลายกลายเป็นละอองสีทองกระจายไปทั่วท้องน้ำ ใจกลางสระปทุมทองเกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่ไหลเข้าสู่สวนท้อของเทียนโฮ่ว เซียนน้อยใหญ่แตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง เหล่าเซียนหญิงขวัญอ่อนร้องระงม เดือดร้อนเซียนผู้กล้าทั้งหลายที่ข่มความหวาดกลัวลงท้อง เข้าไปปลอบประโลมพวกนางอย่างหาญกล้า ได้หน้าไปเต็มๆ

เซียนตาขาวกลุ่มหนึ่งหลบอยู่หลังศิลาสวรรค์ กล่าวถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อครู่อย่างออกรส

“นึกไม่ถึงว่าเป็นถึงเทพปักษา เพียงถูกอสนีบาตฟาดไปครั้งเดียวร่างก็แหลกสลายเสียแล้ว เห็นทีที่ว่านางรับอสนีสวรรค์แทนหลานสาวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสคงจะเป็นเรื่องจริง”

“นางเป็นถึงเทียนเฟิ่งจะไร้น้ำยาถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

เซียนคนหนึ่งสะบัดพัดลายไผ่เขียวอย่างร้อนใจ “ว่าก็ว่าเถิด เมื่อหกหมื่นปีก่อนอสนีสวรรค์เจ็ดสายยังสร้างริ้วรอยให้นางไม่ได้เลย ครานี้โดนไปครั้งเดียวถึงกับร่างสลายจิตแตกดับไม่เกินไปหน่อยหรือ”

“เจ้าจะไปรู้อะไร นางมียาวิเศษที่นามว่ายาบัวหยกว่ากันว่าเพียงแค่ทาตัวยานี้ลงบนผิวกาย บาดแผลฉกรรจ์แค่ไหนก็หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เผ่าปักษารักสวยรักงาม มีหรือจะไม่ใช้ยาตัวนั้น” เซียนอีกตนขัดขึ้น “เอ๊ะ เซียนน้อย เหตุใดเจ้าถึงรู้เล่าว่านางไม่มีบาดแผล หรือเจ้ามาจากเผ่าปักษา”

เซียนหนุ่มรีบยกพัดขึ้นบังหน้า ดวงตาเรียวงามกลอกกลิ้งไม่หยุด แสร้งกระแอมถอยกรูดไปอีกฝั่งหนึ่งของศิลาสวรรค์พลางกล่าวว่า “ข้าเพียงเดาเอาเท่านั้น อายุบำเพ็ญผู้น้อยเพียงหนึ่งหมื่นปี ไหนเลยจะสามารถมองท่านเทพปักษาตรงๆ ได้เล่า ท่านประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว”

อีกฝ่ายหรี่ตาลงราวกับต้องการจับผิด หันไปพูดกับเซียนอีกตน “เจ้าไปพาเซียนผู้นี้มาจากไหนกัน”

“ข้าพบเขาตรงทางเข้าประตูสวรรค์ ผ่านทหารหน้าประตูมาได้ ก็แสดงว่าเขาประจำอยู่ที่นี่ เทพเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีตั้งมากมาย ท่านจะคิดมากไปไยท่านซือซือ”

ซือซิง หรือที่เหล่าเซียนผู้น้อยเรียกด้วยความเคารพว่าซือซือคือเทพลิขิตชะตา เขาเป็นหนึ่งในผู้เฝ้าศิลาสวรรค์แห่งนี้ เนื่องด้วยหน้าที่รองของบรรดาเทพลิขิตชะตาคือเฝ้าศิลาสวรรค์ นอกจากผู้ที่ได้รับอนุญาตล้วนไม่สามารถมายืนบริเวณนี้ในระยะสามจั้ง[ หน่วยวัดระยะ 1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร]ได้

เซียนที่มีตบะเพียงหมื่นปี แม้แต่จะเฉียดกรายรอบศิลาสวรรค์ก็ยังทำไม่ได้ ความคิดอันเฉียบไวของซือซิงทำงานทันที

“จับตัวเซียนผู้นั้น!” ซือซิงออกคำสั่ง แส้ทัณฑ์สวรรค์พลันปรากฏในมือ

“ขอรับ” เซียนติดตามกระโดดหมายตะครุบตัวอีกฝ่ายตามคำสั่ง ทว่าพริบตาเดียวกลับคว้าได้เพียงอากาศ “ท่านซือซือ เขาหายไปแล้ว”

ซือซิงคิ้วขมวด เมื่อครู่เพราะเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกจนทุกคนขวัญกระเจิง ตัวเขาเพิ่งเข้ามาทำงานเฝ้าศิลาสวรรค์ได้ไม่นานไหวพริบจึงไม่ค่อยดีนัก เผลอพูดคุยกับผู้อื่นเสียนานจนเลินเล่อว่าต้องทำอะไรบ้าง

“ช่างเถิด เข้าใกล้ศิลาสวรรค์ได้คงมิใช่ปีศาจหรือมารที่ไหน คนหายไปแล้วก็แล้วไป ต่อไปเราต้องเคร่งครัดให้มากกว่านี้ เทียนจวินกับเทียนโฮ่วคงทราบข่าวแล้ว ข้าจะไปเขียนรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านเซียนซิงจื่อ”

รอบสระปทุมทองกลับคืนสู่ความเงียบสงบอย่างรวดเร็ว เทียนจวินมีรับสั่งให้ทุกคนกลับไปที่พำนัก เลื่อนงานชุมนุมบุปผชาติไปโดยไม่มีกำหนด เหตุการณ์ที่เทพปักษาถูกทัณฑ์สวรรค์จนร่างสลายมิใช่เรื่องเล็กน้อย ขบวนที่เคลื่อนไปยังสวนท้อจึงเลี้ยวกลับไปยังท้องพระโรง

“ทูลเทียนจวิน กระหม่อมลองใช้ตาที่สามตรวจสอบแล้ว ไม่พบไอเทพของเทียนเฟิ่งเลยพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพสวรรค์เอ่ยด้วยสีหน้ากังวล

เทียนจวินคลึงขมับ รู้แก่ใจว่าเรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก กว่าเทียนเฟิ่งจะยอมออกจากเผ่าปักษาเพื่อมาเยือนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เทียนโฮ่วส่งเทียบเชิญไปไม่รู้กี่หมื่นครั้ง ครั้นนางตอบรับเทียบเชิญ กลับกลายเป็นเคราะห์กรรมไปเสียได้

“ฝ่าบาท เป็นหม่อมฉันเองที่ผิด เทียนเฟิ่งปฏิเสธร่วมงานชุมนุมหลายครา คงมีญาณพิเศษรับรู้ถึงภัยอันจะเกิดล่วงหน้า หากหม่อมฉันไม่ทู่ซี้เช่นนั้น นางคงยัง…” เทียนโฮ่วกลืนก้อนสะอื้นในอก ใบหน้าซีดเซียว ไม่รู้จะกล่าวเช่นไรต่อ ท่าทางคล้ายจะหมดสติอยู่รอมร่อ

“มิใช่ความผิดของเจ้าหรอก หม่านหง…พาเทียนโฮ่วกลับตำหนักไปก่อน”

“เพคะ”

องค์หญิงหม่านหงก้าวขึ้นหน้า ย่อกายรับคำสั่งด้วยท่าทางอ่อนช้อยงดงาม ใบหน้าของนางครึ่งหนึ่งแม้ซ่อนไว้ภายใต้แพรสีขาวบาง หากแต่โครงคิ้วและดวงตากลับสามารถตรึงวิญญาณเทพเซียนทั้งหลายในท้องพระโรงมิให้ละสายตาไปจากนางได้

ท้องพระโรงกลับสู่ความเงียบสงบ เหล่าเทพเซียนชั้นสูงยืนนิ่ง แววตามีแต่ความกลัดกลุ้ม ด้วยต่างรู้ดีว่าที่เทียนเฟิ่งยอมมาที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าเพราะความผิดปกติของเสาค้ำยันสวรรค์ หากจะหาคนรับผิดชอบ ย่อมต้องเป็นบรรดาผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้

“ทูลเสด็จพ่อ ลูกรู้จักเทียนเฟิ่งมานาน ด้วยนิสัยของนางแล้วหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องมีทางออกทางอื่นเผื่อไว้เสมอ อีกทั้งตบะของนางมิใช่น้อยๆ ถูกอสนีสวรรค์ไปเจ็ดสายยังไม่ระคายผิว ที่สำคัญนางเป็นถึงเทพบรรพกาล ทุกครั้งที่เกิดเหตุร้ายย่อมต้องมีเหตุการณ์พิเศษขึ้นอย่างแน่นอน อีกอย่าง...เฟิ่งหวงเป็นเทพที่สามารถรวบรวมดวงจิตกลับคืนมาได้รวดเร็วที่สุดในหกภพภูมิ หากนางหายไปโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ลูกคิดว่าเป็นความต้องการของนางเองพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อแห่งแดนสวรรค์ออกหน้า ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ นัยน์ตานิ่งสงบดุจน้ำในทะเลสาบหยก ภายใต้สถานการณ์เพียงชั่วครู่กลับสามารถวิเคราะห์เรื่องราวออกมาได้อย่างชัดแจ้ง แม้แต่เทียนจวินเองก็ยังมองโอรสด้วยสายตาชื่นชม

“เจ้าคิดเช่นนั้นรึ”

ไท่จื่ออี่ฉินประสานมือคารวะ ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ศิษย์น้องของลูก ลูกย่อมรู้จักนางดี”

เทียนจวินและบรรดาเทพเซียนอาวุโสต่างก็ถอนใจด้วยความโล่งอก แม่ทัพสวรรค์หลี่จิ้งคล้ายถูกดูหมิ่นตาที่สาม อดสอดปากถามขึ้นกลางที่ประชุมไม่ได้ “ไท่จื่อ ตาที่สามของกระหม่อมสามารถตรวจสอบดวงจิตของเทพเซียนได้ทั้งหกภพภูมิ เหตุใดจึงไม่สามารถรับรู้ถึงดวงจิตของเทียนเฟิ่งได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

อี่ฉินกระตุกยิ้ม ประสานมือตอบแม่ทัพสวรรค์ด้วยความสุขุม “ดวงตาที่สามของแม่ทัพหลี่เลื่องชื่อลือนามไปทั่วทั้งหกภพภูมิ อี่ฉินมิกล้าดูหมิ่น ทว่าตบะของเทียนเฟิ่งเหนือกว่าเทพบำเพ็ญเพียรไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จึงส่งผลให้ดวงตาของท่านมิอาจทำงานได้เต็มที่”

พลังเทพบรรพกาลต่างจากเทพที่บำเพ็ญมาจากเซียนอยู่มาก เนื่องจากเมื่อถือกำเนิดมาก็เป็นเทพแล้ว บำเพ็ญตบะไม่กี่หมื่นปีก็ก้าวนำเทพบำเพ็ญเพียรไปไกลลิ่ว แม่ทัพสวรรค์หลี่จิ้งได้ยินเช่นนั้นจึงเข้าใจในทันที “หลี่จิ้งขออภัย ข้าลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปจริงๆ”

ที่จริงมิใช่ว่าดวงตาที่สามของแม่ทัพสวรรค์มิเคยผิดพลาด เมื่อหลายหมื่นปีก่อนองค์ชายสามของเผ่าสวรรค์ก็หายตัวไปเช่นนี้ หลี่จิ้งใช้ดวงตาที่สามตรวจสอบเช่นไรก็ไม่พบ ทว่าศิลามังกรกลับมิได้มอดแสงลงแม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าเจ้าของยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในหกภพภูมิ

เทียนจวินจึงปักใจเชื่อว่าองค์ชายสามเพียงแค่เร้นกายหายไป

“เอาล่ะ หากเป็นประสงค์ของเทียนเฟิ่ง เราเองก็ยากจะตามหา ทว่ายามนี้เทพบรรพกาลที่สามารถควบคุมประตูมารมีไม่มาก เทพปักษาหายตัวไปย่อมต้องหาคนมาแทน ทว่าระหว่างนี้พวกท่านทั้งหลายโปรดอย่าเพิ่งตื่นตูมไปไกล โดยเฉพาะหากเทพมังกรกลับมา จงเก็บเรื่องเทพปักษาให้เงียบที่สุดเข้าใจหรือไม่”

“เทพมังกรจะกลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เทียนจวินพยักหน้า

“เหตุใดต้องปกปิดเรื่องนี้กับเทพมังกรด้วยเล่าฝ่าบาท” เซียนดอกท้อเอ่ยขึ้น คิ้วเคราขาวโพลนบนใบหน้าทำให้ดูคล้ายกับเฒ่าจันทราถึงสามส่วน หากแต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คิ้วเคราเหล่านั้นกลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกขัดนัยน์ตายิ่ง

เทียนจวินมีสีหน้าลำบากใจ “หากเทพมังกรทราบว่าคู่บุพเพหายตัวไป ย่อมต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเพื่อตามหานางอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นไม่ดีหรือ ให้เทพมังกรช่วยค้นหานาง”

ไท่จื่ออี่ฉินเอ่ยแทรกเสียงเรียบ “ท่านเซียนโปรดตรึกตรองให้ดี ยามนี้เทพปักษาหายตัวไป ความปลอดภัยของประตูมารก็ว่าย่ำแย่แล้ว หากเทพมังกรที่กำลังจะกลับมาหายไปอีกองค์ มิคาดว่าประตูมารจะสุ่มเสี่ยงถูกทำลายได้โดยง่ายหรือ”

“แต่พวกเราต่างทราบดีว่าเทพมังกรหนีบุพเพของตนจนยอมหลับใหล นั่นมิเท่ากับว่าตัวเขาเองมิได้มีเยื่อใยใดๆ ต่อนางแม้แต่น้อย” เซียนอีกคนวิเคราะห์

อี่ฉินที่หลุบตาซ่อนประกายลึกล้ำ เทพเซียนเหล่านี้รู้เรื่องราวเพียงผิวเผิน ไหนเลยจะเข้าใจความคิดของเฉียนเวย ไท่จื่อแห่งแดนสวรรค์จึงเก็บปากเงียบ เซียนดอกท้อพลันเอ่ยสอดขึ้นมา “ไม่มีจิตผูกพัน ก็ยากจะสร้างบุพเพ เรื่องราวเหล่านี้ เทพเซียนที่ไม่เคยพานพบดอกท้อของตนจะใช้ประสบการณ์อันตื้นเขินมาวิจารณ์มิได้”

ถ้อยคำเรียบง่าย น้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับทำให้เซียนผู้นั้นหน้าเขียวคล้ำในทันที

“พวกเจ้าเลิกถกเถียงกัน บุพเพเป็นเพียงสื่อนำ วาสนาต่างหากที่สำคัญ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง หากเขาต้องการพบเทียนเฟิ่ง เราจะพาเทียนเฟิ่งมาให้เขาพบเอง”

เซียนท่านหนึ่งมีท่าทีลุกลี้ลุกลนวิ่งเข้ามาในท้องพระโรง ใบหน้าซีดเผือด สีหน้าแตกตื่น

“ทูลเทียนจวิน มีมังกรทองตัวหนึ่งกำลังกอดรัดศิลาสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ”

เซียนผู้นั้นคือซือซิง เดิมทีเขากลับมารักษาความสุขุมได้แล้ว มิคาดว่าพอกลับไปเขียนรายงานส่งเซียนซิงจื่อ กลับมาอีกทีก็เห็นมังกรทองตัวหนึ่งกำลังกอดรักฟัดเหวี่ยงกับศิลาสวรรค์ราวกับโกรธแค้นกันมา คิดจะเข้าไปยุ่งก็เข้าไปไม่ได้เนื่องด้วยม่านพลังของมันแข็งแกร่งเกินไป ก่อนที่เขาจะวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานมารายงานได้ บรรดาเซียนที่เฝ้าศิลาสวรรค์ทั้งหมดก็แทบจะล่อนจ้อน ถูกสายฟ้าลามเลียจนอาภรณ์ไหม้เกรียม เป็นที่อุจาดตานัก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel