ตอนที่ 3
เมื่ออัสดงโรยตัวลงมาโอบล้อมไร่ไม้ดอกไม้ประดับที่ดอกใบเบ่งบานอวดสีสวยแข่งกันทำให้สวนมัทนารีดูเหมือนสวรรค์เล็ก ๆ ที่โอบล้อมด้วยเนินเขาและทุ่งหญ้าในเทพนิยาย
ร่างบอบบางของสาววัย 18 ในชุดกระโปรงผ้าชีฟองสีหวานนั่งสงบนิ่งภายในห้องรับแขกของบ้านทรงไทยซึ่งมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นทัศนียภาพของสวนไม้ดอกไม้ประดับส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในกาญจนบุรี
เจ้าของดวงหน้ารูปไข่ซึ่งดวงตากลมโตคู่นั้นมองไปรอบ ๆ ห้องรับแขกที่ประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ในโทนสีเข้มขรึมถอนหายใจเบา ๆ หลายครั้ง วงหน้าสวยใต้กรอบเรือนผมเคลือบสีน้ำตาลแวววาวเหลือบมองไปที่ประตูทางเข้าและเม้มปากเคลือบกลอสสีชมพูจิ้มลิ้มราวกับเธอกำลังรอคอย
คัทลียามาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย ไร่มัทนารีที่เธอได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับส่งออกต่างประเทศ ซึ่งมันก็เป็นจริงดังว่า สาวสวยวัยสิบแปดหลงใหลสถานที่นี้ทันทีที่ได้เห็น
แต่ลึก ๆ แล้วเธอกลับรู้สึกหดหู่ เธอต้องมาที่นี่ตามคำสั่งของมารดาที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวหลังจากที่บิดาเสียชีวิตด้วยโรคร้ายไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า
"หนูนิด...ลูกต้องไปอยู่กับคุณอาไกรสูรย์ที่ไร่มันทนารีนะจ๊ะ เขาเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อเพียงคนเดียวตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่คุณพ่อป่วยหนักท่านได้กำชับเพื่อนของท่านคนนี้ว่าให้ช่วยดูแลลูกด้วย เขารับปากว่าจะช่วยเหลือและดูแลหนูนิดอย่างดี ไม่ใช่ว่าที่แม่ให้หนูนิดไปอยู่กับเขาเพราะแม่ไม่รักลูก แต่ตอนนี้เราประสบปัญหาการเงินและแม่ก็อยากสะสางปัญหาทุกอย่างให้เสร็จลุล่วงไปก่อน แม่อยากให้ลูกไปอยู่กับคุณอาไกรสูรย์สักพัก หลังจากนี้แม่จะไปรับลูกกลับนะจ๊ะ”
คำอธิบายของมารดายังดังอยู่ในความคิดของหญิงสาว คัทลียาเข้าใจว่าเธอต้องพบกับอุปสรรคใหญ่เมื่อบิดาซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิตลง และเท่าที่รู้คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคือคุณอาไกรสูรย์ซึ่งเธอเคยรู้จักแต่ไม่เคยพูดคุยกับเขาสักครั้ง มารดาบอกว่าเขาเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจไม้ดอกไม้ประดับส่งออกแต่ชอบเก็บตัวไม่ค่อยออกสังคม
“ไง...มาถึงนานแล้วหรือ?”
เสียงทุ้มห้าวทำให้หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ในท่าที่เริ่มกระสับกระส่ายหันไปมองเจ้าของเสียงซึ่งยืนอยู่ที่ประตู คัทลียาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองสีเข้มก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า เจ้าของใบหน้าคมเข้มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ
